(ต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว)
นายบุญธาตุ โสภา ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมความเสมอภาคและงานคดี กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ได้แสดงความคิดเห็น ดังนี้ กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) เกิดขึ้นตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๐ จากเดิมชื่อสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติเป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ต่อมามีการยกฐานะ เป็นหน่วยงานระดับกรมในสังกัดกระทรวง พม. ตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ.๒๕๕๖และเปลี่ยนชื่อจาก “สำนักงานส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ” เป็น “กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ” ตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ๑๔) พ.ศ.๒๕๕๘ จนถึงปัจจุบัน โดยอำนาจหน้าที่ของกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ตามมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.๒๕๕๐ และที่แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๕๖ ซึ่งได้กำหนดหน้าที่และอำนาจที่สำคัญ ๕ ประการ ได้แก่ (๑) ประสานงานและร่วมมือกับหน่วยงานด้านนโยบายและยุทธศาสตร์ของรัฐบาลส่วนราชการ หน่วยงานอื่นๆ และเอกชนที่เกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศ (๒) สำรวจ ศึกษา วิเคราะห์ รวบรวมและเก็บรักษาข้อมูลเกี่ยวกับคนพิการ (๓) จัดทำแผนงานเกี่ยวกับการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (๔) สนับสนุนให้มีการจัดตั้ง การดำเนินงาน และการสร้างความเข้มแข็งขององค์กรด้านคนพิการ และ (๕) ตรวจสอบการได้รับสิทธิประโยชน์ของคนพิการให้คำแนะนำและช่วยเหลือคนพิการให้สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้จากสิ่งอำนวยความสะดวก สวัสดิการ และความช่วยเหลืออื่นตามความต้องการจำเป็นพิเศษเฉพาะบุคคล
ทั้งนี้ พก.มีการทำงานควบคู่กันไปทั้งด้านการส่งเสริมและด้านการบังคับใช้กฎหมายเช่นเดียวกับชื่อกลุ่มงานที่รับผิดชอบ คือ กลุ่มส่งเสริมความเสมอภาคและงานคดี ซึ่งมีหน้าที่และอำนาจทั้ง ๒ ด้าน คือ (๑) ภารกิจด้านการส่งเสริม เป็นการดำเนินการเพื่อให้คนพิการได้รับสิทธิเช่นเดียวกับ คนอื่น มีชีวิตความเป็นอยู่ ได้รับสิ่งอำนวยความสะดวก การช่วยเหลือจากภาครัฐและภาคเอกชนเหมือนกับคนอื่น และ (๒) การปฏิบัติตามกฎหมาย โดยงานที่เห็นภาพชัดเจนที่สุด คือ การฟ้องร้องดำเนินคดีกับสถานประกอบการที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายการจ้างงานคนพิการ ซึ่งปัจจุบัน ได้ฟ้องคดีไปแล้วกว่า ๘๐ บริษัท
หัวข้อ “การอำนวยความสะดวกที่สมเหตุสมผล” หากจะกล่าวให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น คือ “การช่วยเหลือหรือการอำนวยสะดวกอย่างเหมาะสมและเป็นไปได้” ซึ่งต้องมีทั้ง “เหมาะสม” และ “เป็นไปได้” กฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการได้กำหนดสิทธิของคนพิการต่าง ๆ ไว้ โดยประเด็นการจ้างงานคนพิการ ถือเป็นประเด็นที่สำคัญ ในภาคเอกชนมีการจ้างงานคนพิการแล้วกว่า ๑๓,๐๐๐ บริษัท คิดเป็นร้อยละ ๙๘ สำหรับจำนวนคงเหลือร้อยละ ๒ อยู่ระหว่างกระบวนการฟ้องดำเนินคดี ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ย ส่วนในภาครัฐ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๘ มีการจ้างงานคนพิการเพียงร้อยละ ๑๗ ทั้งนี้ ในต่างประเทศภาครัฐจะจ้างงานคนพิการครบร้อยละ ๑๐๐ เนื่องจากภาครัฐมีเนื้องานให้บริการประชาชนงานด้านวิชาการงานออฟฟิศซึ่งเป็นงานที่ไม่ได้มุ่งหวังผลกำไร ภาครัฐจึงสามารถจ้างงานคนพิการให้ทำงานในหน่วยงานรัฐได้ทันที จึงแตกต่างกับประเทศไทยที่ภาคเอกชนจ้างงานคนพิการถึงร้อยละ ๙๘
เนื่องจาก มีมาตรการส่งเสริมกับภาคเอกชน แต่ในส่วนของภาครัฐแม้จะมีความพยายามในการหารือพูดคุยกับ หน่วยงานต่างๆ แล้วก็ยังมีการจ้างงานคนพิการน้อย จนเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๘ ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีได้มีมติเรื่องการจ้างงานคนพิการ โดยขอให้ทุกหน่วยงานภาครัฐดำเนินการจ้างงานคนพิการให้ครบร้อยละ ๑๐๐ ตามที่กฎหมายกำหนดภายในสิ้นปีงบประมาณ ๒๕๖๑ นี้ และให้รายงานข้อมูลการจ้างงานคนพิการ รวมทั้งแผนการจ้างงานคนพิการซึ่งในปัจจุบันมีอัตราการจ้างงานคนพิการของภาครัฐเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ ๘๓ จึงขอให้ทุกหน่วยงานได้ดำเนินการจ้างงานคนพิการให้ครบตามที่กฎหมายกำหนดและเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อปี ๒๕๕๘ ซึ่งนับจำนวนการจ้างงานตามภาพรวมกระทรวง หากไม่สามารถจ้างงานคนพิการก็สามารถจัดสถานที่จำหน่ายสินค้าหรือบริการให้กับคนพิการได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาข้อมูลในเชิงลึกเกี่ยวกับการจ้างงานคนพิการในภาคเอกชนจำนวนกว่า ๖๕,๐๐๐ คน ในจำนวนดังกล่าวมีการจ้างงานคนพิการกว่า ๓๐,๐๐๐ คน ที่ไม่เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด โดยนำชื่อคนพิการรายงานข้อมูลการจ้างงาน คนพิการ แต่ไม่ได้ให้คนพิการไปทำงานหรือขายสินค้าจริง บางรายจ่ายค่าตอบแทนบางส่วนให้คนพิการและจ่ายเงินเข้าประกันสังคมแทนคนพิการเพื่อให้มีข้อมูลคนพิการอยู่ในระบบประกันสังคมด้วย ถือเป็นการหลีกเลี่ยงการปฏิบัติตามกฎหมาย ทั้งนี้ อยู่ระหว่างการตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมายต่อไป
นอกจากนี้ สิทธิคนพิการด้านการศึกษา กฎหมายกำหนดให้คนพิการในวัยเรียนหนังสือต้องได้เรียนหนังสือทุกคน ซึ่งมีการตราพระราชบัญญัติการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๑ ขึ้น ส่งผลให้เกิดการพัฒนาด้านการศึกษาสำหรับคนพิการให้ก้าวหน้า คนพิการมีสิทธิในการเรียนหนังสือมากขึ้น แต่ปัจจุบันก็ยังมีปัญหากรณีสถานศึกษา ไม่รับคนพิการเข้าเรียนอยู่จำนวนมากเช่นกัน ซึ่งสถานศึกษาควรจัดการศึกษาแบบเรียนรวม เพื่อให้เด็กพิการและเด็กทั่วไปได้เรียนในชั้นเรียนเดียวกัน เด็กปกติและเด็กพิการได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน เป็นเพื่อนกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เมื่อเติบโตขึ้นเกิดความเข้าใจในความแตกต่างและไม่คิดว่าคนพิการไม่ใช่เรื่องของตนทั้งหมด คือกรณีตัวอย่างของสังคมไทยที่ยังมีการเลือกปฏิบัติ ไม่ช่วยเหลือคนพิการ ไม่อำนวยความสะดวกให้กับ คนพิการเท่าที่ควรอาจจะทั้งรู้และไม่รู้ แม้กฎหมายด้านคนพิการของประเทศไทยจะก้าวหน้าและถือเป็นผู้นำ ในประเทศอาเซียนแต่สังคมไทยก็ยังไม่พร้อมจะก้าวไปตามกฎหมาย หลายบริษัทยังจ้างงานคนพิการไม่เป็นไปตามกฎหมาย หลายบริษัทยังหลีกเลี่ยงปฏิบัติตามกฎหมาย หลายโรงเรียนยังปฏิเสธรับเด็กพิการเข้าเรียน โดยอ้างเหตุผลมากมาย รวมถึงบางครอบครัวยังปฏิเสธไม่รับคนพิการกลับบ้าน เช่นกรณีคนพิการทางจิต ที่มีอาการทุเลาสามารถกลับไปให้ครอบครัวดูแลได้ แต่ยังมีครอบครัวจำนวนมากไม่รับกลับเพราะเห็นว่า เป็นภาระ
ประเด็น “การอำนวยความสะดวกที่สมเหตุสมผลที่เหมาะสม และเป็นไปได้” จึงเป็นเรื่อง ที่ต้องบัญญัติในกฎหมายเพื่อบังคับใช้ให้เกิดความชัดเจน เพราะสังคมไทยต้องมีกฎหมายนำ ซึ่งหากประเทศไทยไม่มีกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ก็ยังไม่สามารถพัฒนางานด้านคนพิการมาได้ถึงวันนี้ ถึงแม้จะยังไม่สมบูรณ์เต็มที่แต่ก็ถือว่ามาไกลมากแล้ว ดังนั้น การมีกฎหมายว่าด้วยการอำนวยความสะดวกที่สมเหตุสมผลจึงเป็นสิ่งที่น่าจะไปได้สำหรับสังคมไทย เพื่อใช้กฎหมายเดินนำแล้วบังคับใช้กฎหมายตาม และการสร้างสำนึกในการช่วยเหลือเกื้อกูลบุคคลที่เป็นคนพิการหรือคนด้อยโอกาส รวมทั้ง การบรรจุการเรียนการสอนไม่ว่าจะเป็นในโรงเรียนในระบบหรือนอกระบบ พ่อแม่ ครอบครัว และสังคมก็ควรต้องช่วยกันสอนตั้งแต่เด็กให้เข้าใจเรื่องคนพิการ ว่าคนพิการมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และเป็นพลเมืองไทย ที่ต้องได้รับสิทธิและเช่นเดียวกับคนอื่นซึ่งรัฐธรรมนูญให้การรับรองไว้
สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ถนนอู่ทองใน ดุสิต กทม. 10300 email : dek_senate@hotmail.co.th หรือ Facebook: กมธ.พัฒนาสังคมหรือ กลุ่มงานคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและกิจการเด็กฯ วุฒิสภา โทร.02-831-9225-6 แฟกซ์ 02-831-9226
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี