ผมได้พูดเรื่องคุณสมบัติของประชาชนชาวไทยที่ผมอยากให้มีไปแล้วหลายครั้ง คือ ต้องเป็นคนดี ที่เก่ง ที่รอบรู้ และที่มีสุขภาพที่ดี ก่อนที่จะเก่งได้จะต้องมีโอกาส โอกาสในการเรียน ในระบบการศึกษาที่ดี แล้วยังต้องเรียนเป็น จับประเด็น สรุปเป็น ต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต แล้วยังจะต้อง เก่ง 7 อย่าง คือ เก่งคิด คน งาน เงิน เวลา “ขาย” และฟัง ผมได้พูดไปหมดแล้วรวมถึงเก่งเวลา ในวันนี้จะขอพูดเรื่องการเก่ง “ขาย”
การเก่ง “ขาย” คืออะไร เก่ง “ขาย” คือ การพูด เขียน อธิบาย เรื่องโปรเจกท์ต่างๆ เช่น ในการสอบ พูดเก่งจนครู อาจารย์ ให้คะแนนมากๆ พูดเก่งจนภรรยาให้เงินไปเที่ยว(!) พูด อธิบาย เก่ง จนผู้ป่วยยอมทำตามที่แพทย์แนะนำ เช่น การให้เจาะตับ หรือทำการตรวจเพิ่มเติมด้วยวิธีต่างๆ ผมมีประสบการณ์ในชีวิตจริง ที่จะนำมาเล่าสู่กันฟัง สมัยที่ยังเด็กอยู่ ตั้งใจจะเป็นตำรวจอย่างคุณพ่อ (พล.ต.อ.พิชัย กุลละวณิชย์) แต่คุณพ่ออยากให้ลูกๆ มีอาชีพอิสระ เช่น แพทย์ วิศวะ สถาปัตย์ ฯลฯ ผมจึงเรียนแพทย์ (เรื่องนี้ยาววันนี้จะไม่พูดถึง) ผมทราบตลอดว่าคุณพ่อดีใจมากที่ผมจะเรียนแพทย์ตอนที่เรียนแพทย์ที่ Leeds ในปีที่ 3 ของชั้นเรียน เราต้องเรียนบางวิชาที่สถานที่แห่งหนึ่ง หลังจากนั้นต้องไปเรียนต่อยังที่อีกแห่งหนึ่งที่อยู่ไกล เพื่อนบางคนมีรถ ผมก็อยากได้บ้าง ซึ่งจำเป็นเหมือนกันแต่ไม่ถึงกับต้องมี ผมจึงเขียนไปหาคุณพ่อในทำนองนี้ (โดยรู้ว่าจุดอ่อนคุณพ่อ คือ ดีใจ พอใจ ที่ผมเรียนหมอ) ในจดหมายผมเริ่มต้นว่า ก่อนที่คุณพ่อจะอ่านส่วนนี้ ถ้าคุณพ่อไม่ค่อยมีเงินก็ไม่ต้องอ่าน หลังจากนั้นผมจึงอธิบายถึงความจำเป็นในการมีรถ คือหลังที่ผมเรียนจากแห่งหนึ่ง ผมต้องรีบไปขึ้นรถเมล์เพื่อไปยังโรงพยาบาลอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งบางครั้งรอรถนาน รถมาช้า ฝนตก รถคนแน่น ต้องรอคันต่อไป ทำให้ไปถึงที่เรียนช้าฯลฯ จึงอยากขออนุญาตคุณพ่อซื้อรถ ฯลฯ หลังจากเขียนส่วนนี้หมดแล้ว ผมยังย้ำอีกว่า ถึงแม้ผมมีเหตุผลดีมากในการขอซื้อรถ แต่ถ้าคุณพ่อไม่มีเงินผมก็เข้าใจ และจะไม่ซื้อ (ทั้งหมดนี้คุณพ่อเอาจดหมายมาให้ผมเป็นแฟ้มหลายแฟ้ม ตอนผมกลับมาเมืองไทยแล้ว) สมัยนี้เวลามาอ่านสิ่งที่ผมเขียนแล้ว รู้สึกคลื่นไส้ จะอาเจียน แต่หลักการใช้ได้ ปรากฏว่าคุณพ่อตอบจดหมายอนุมัติให้ผมซื้อรถได้เลย
อีกอันหนึ่ง คือ มีหน่วยงาน GI จากโรงพยาบาลอื่นมาขอให้ผมส่งอาจารย์ใหม่คนหนึ่งไปเมืองนอก เพราะทางโน้นเขาไม่รู้จักอาจารย์หมอที่เขาอยากให้ศิษย์ไปเรียนด้วย ความจริงอาจารย์หมอคนนี้ที่ผมจะขอให้รับคุณหมอไทยดังมาก ผมเองเคยพบทีเดียว แต่ผมก็เขียนไปในทำนอง “Dear John (ชื่อสมมุติ-ผมทำเป็นว่ารู้จักดี ด้วยการใช้ชื่อแรกไปเลย แล้วต่อด้วยสบายดีนะ เราเคยเจอกันเมื่อ...) แล้วบอกว่าขอส่งเด็กไทยคนหนึ่งมาเรียนกับเขา เด็กคนนี้ไม่ได้มาจากโรงพยาบาลจุฬาฯ แต่มาจากโรงพยาบาล“คู่แข่ง” แต่ที่เขียนฝากมาเพราะเมืองไทยมีโรคทางนี้มาก และไม่ว่าผมจะส่งใครมา ต่างก็เป็นผลดีต่อผู้ป่วยไทย ประเทศไทย ทั้งสิ้น และเขา (อาจารย์แพทย์เมืองนอก) ก็จะถือได้ว่าจะมีส่วนพัฒนาประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง ถ้าจะกรุณารับเด็กคนนี้ไว้ ฯลฯ ปรากฏว่าเขารับเลย และผมก็ทำอย่างนี้บ่อยๆ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ไปเรียนที่อเมริกา บางคนจบอเมริกา ยังฝากไม่ได้เลย อาจเป็นเพราะไปแล้วเอาแต่เรียน ไม่สร้างสายสัมพันธ์ ไม่ถนัดเรื่องมนุษยสัมพันธ์ กลับมาแล้วไม่ติดต่อสถาบันนั่นอีกเลย ผมเป็นหมอระบบทางเดินอาหาร เรียนที่อังกฤษ ยังเคยถูกขอจากหัวหน้าระบบหายใจที่จบที่อเมริกา ให้ส่งลูกน้องไปเรียนทางระบบหายใจเลยและฝากได้ด้วย!?
ลูกศิษย์เวลาสอบต้อง “ขาย” ของให้เก่ง คือ ต้องพูด อธิบายให้เก่ง มิฉะนั้นจะไม่ได้คะแนนดี ในการตรวจผู้ป่วยรายยาวเราจะต้องซักประวัติ ตรวจร่างกาย คิด และพูดให้เก่งด้วย ถ้าเราซัก ตรวจร่างกายคิดเก่ง แต่พูดไม่ได้ดี อาจารย์เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าเราเก่ง ฉะนั้นต้องหัดพูด อธิบายให้เก่ง ผมสอนด้วยว่าในการตรวจผู้ป่วยรายยาวที่มีเวลา 30 นาทีกับผู้ป่วย 40 นาทีกับอาจารย์ 2 ท่าน เราต้องฝึก หัด จนเราสามารถซักประวัติได้ดีภายใน 8 นาที (ประมาณ) ตรวจร่างกายอย่างดีมีระบบภายใน 15 นาที (ประมาณ) และมีเวลาเหลืออีก 7 นาที เพื่อรวบรวมข้อมูลความคิด ที่จะพูด อธิบาย เตรียมคำตอบ ไม่ว่าจะถามทางด้านไหน เราต้องตอบให้ได้ ฉะนั้นต้องคิดล่วงหน้าไว้ว่าอาจารย์ท่านจะบุกเราทางไหน
แต่สิ่งที่เรา “ขาย” นั้นจะต้องเป็นความจริง การที่เราจะ “ขาย” ของเก่งได้ เราจะต้องรู้เรื่องนั้นจริง ฉะนั้นจะต้องอ่านเรื่องนั้นอย่างละเอียด ถี่ถ้วน อ่านจากหนังสือ วรสาร จากแนวทางเวชปฏิบัติ จากข้อสอบเก่าๆ (ถ้าเป็นแพทย์) และต้องทำบทสรุปไว้ให้ดี ต้องสามารถรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างทะลุปรุโปร่ง รู้หัวใจของเรื่องคืออะไร ต้องจับประเด็นเป็น สรุปเป็น ฯลฯ
เช่น คนไทยที่ขายไวน์ ในไทย“ขาย” ของไม่เก่ง เก่งในกรณีนี้คือรู้จริง รู้ทุกข้อมูลเกี่ยวกับไวน์ที่จะขาย เช่น ไวน์ในไทยส่วนใหญ่มีแต่ขวด 750 ซีซี ถ้าเปิดจะต้องดื่มให้หมดภายใน 2-3 วัน
มิฉะนั้นจะเสีย กลายเป็นน้ำส้ม(เปรี้ยว) ส่วนวิสกี้เราดื่มมากน้อยแค่ไหนก็ได้ ถึงเปิดจุกดื่มนิดเดียวและปิด เหล้าก็ไม่เสีย เบียร์ก็มีเป็นกระป๋องเล็ก ขวดเล็ก ดื่มได้ในประมาณที่ไม่มากเกินไป แต่ไวน์เมืองนอกมีขายขวดขนาดต่างๆ กัน ใครจะดื่มนิดเดียวก็ได้ ในปัจจุบันนี้แนวทางเวชปฏิบัติของสหราชอาณาจักรบอกว่าการดื่มแอลกอฮอล์ต่อวันไม่ควรดื่มเกิน 2 หน่วยต่อวัน ทั้งหญิงและชาย 1 หน่วย คือ 80 ซีซีของไวน์ หรือ 25 ซีซีของวิสกี้ หรือเบียร์ 200 ซีซี ฉะนั้นใครที่อยากดื่มไวน์ทุกวัน วันละ 80 ซีซี จะไม่ดื่มไวน์ เพราะถ้าดื่มแค่นี้ไวน์ที่เปิดจะเสียก่อนที่จะดื่มหมด ถ้ามีขวดเล็ก 80 ซีซี หรือ 100 ซีซี ขาย ผมคิดว่าจะมีคนดื่มเพิ่มทุกวัน วันละ 100,000 ขวดทั่วประเทศ ถ้าคิดขวดละ 100 บาท วันหนึ่งผู้ขายจะมีรายได้เพิ่มอีก 10 ล้านบาท หรือปีละ 3,650 ล้านบาท (!?)
ยังมีตัวอย่างในชีวิตจริงอีกมากครับ
สรุปก็คือ ต้องเป็นคนที่พูด เขียน อธิบาย เก่ง พูดเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย แต่ต้องเป็นความจริง หรือมีหลักฐานเชิงประจักษ์
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี