ถ้าคนไทยทุกๆ คนมีความดีนำหน้าความเก่ง (แต่ต้องเก่งด้วย) ประเทศไทย จะไปโลด เราจะแซงหน้าสิงคโปร์ ไต้หวัน เกาหลีใต้ แม้กระทั่งญี่ปุ่น เพราะอะไร เพราะประเทศไทยเรามีทรัพยากรธรรมชาติมากกว่า 4 ประเทศนี้มาก แต่คน(ไทย)ของเราต้องมีคุณภาพมากกว่านี้ คือต้องดี เก่ง รอบรู้ และมีสุขภาพที่ดีด้วย
ดีในที่นี้คือ ไม่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ส่วนรวม รับผิดชอบ มีวินัย ไม่ทำผิดกฎหมายบ้านเมือง มีเหตุผล ประหยัด ขยัน อดทน อ่อนน้อม ถ่อมตน ทำงานแบบกัดไม่ปล่อย รู้จักหน้าที่การงานของตัวเอง
ไม่ว่าจะอยู่ที่ระดับไหน ชอบพัฒนา อยากเรียนรู้ตลอดชีวิต ฯลฯ
ส่วนจะเก่งได้จะต้องมีโอกาสเรียน เรียนเป็น สรุปเป็น จับประเด็นเป็น และต้องเก่ง 7 อย่าง คือ เก่งคิด คน งาน เงิน เวลา ขาย และฟัง ซึ่งทั้งหมดผมได้เขียนไปอย่างละเอียดแล้วจนเหลือแต่การ “ฟัง”
วันนี้จึงจะขอเขียนถึงความเก่งฟังเป็นอันสุดท้าย
ถ้าเราดี เก่งคิด คน งาน เงิน เวลา “ขาย” แต่ไม่ชอบฟังใคร เราอาจจะไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เพราะการฟังที่ดีเป็นการหาข้อมูลชนิดหนึ่ง ถ้าเราเป็นคนที่ไม่รู้จักฟังใครเลย อีกหน่อยจะไม่มีผู้ใดให้ข้อมูลเราเลย การฟังนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของการวินิจฉัยโรคสำหรับแพทย์ เราต้องปล่อยให้ผู้ป่วยเล่าอาการของเขาให้เราฟัง เราต้องไม่เอาความคิดของเราไปใส่สมองของเขา
วิธีการที่จะได้ข้อมูลดีๆ วิธีหนึ่งคือ จัดให้มีห้องออกกำลังกาย ณ สถานที่ทำงาน ห้องออกกำลังกายนี้ไม่ต้องใหญ่มาก แต่ควรเน้นเครื่องเดิน วิ่ง เครื่องถีบจักรยาน เครื่องยืดเส้น และอาจมีเครื่อง
ยกน้ำหนัก (resistance training) ด้วย แต่ควรมีป้ายบอกวิธีการออกกำลังกายที่ถูกต้อง เพื่อสุขภาพอย่างละเอียด ซึ่งก็คือ เน้นไปทางด้านออกกำลังกายแบบแอโรบิก คือ การเดิน วิ่ง ถีบจักรยาน ฯลฯ ไม่ใช่มีแต่เครื่องยกน้ำหนักอย่างเดียว ซึ่งถ้ายกน้ำหนักอย่างเดียว รูปร่างกล้ามเนื้ออาจจะดูดี แต่หัวใจ ปอด ฯลฯ จะไม่แข็งแรง
ควรเปิดห้องออกกำลังกายนี้แต่เช้า 06.00 น. จนถึง 21.00 น. หรือประมาณนั้น เจ้าหน้าที่อาจหนีรถติดมายังที่ทำงานแต่เช้า เมื่อมาถึงก่อนเวลาทำงาน จะได้ออกกำลังกาย หรือจะออกกำลังกายช่วงเที่ยง ถ้าไม่รับประทานอาหาร หรือถ้ารับประทานอาหารเบาๆ อาจเอาเวลาที่เหลือมาออกกำลังกายเบาๆ ก็ได้ หรืออาจจะออกกำลังกายหลังเลิกทำงาน เพื่อหนีรถติด หรือเพื่อรอที่จะไปงานกลางคืนต่อ
ประเด็นมีอยู่ว่า ต้องเปิดห้องออกกำลังกายนี้ให้เจ้าหน้าที่ทุกๆ คนใช้ได้ ตั้งแต่พนักงานที่มีอาวุโสน้อยสุด จนถึงสูงสุด ตอนแรกๆ คงไม่ค่อยมีเจ้าหน้าที่ผู้น้อยกล้าเข้าไปออกกำลังกาย แต่ถ้าผู้บริหารชวน คะยั้นคะยอบ่อยๆ เจ้าหน้าที่ต่างๆ ก็คงจะค่อยๆ กล้าขึ้นเอง และเมื่อผู้บริหารพบเจ้าหน้าที่ผู้น้อยในห้องออกกำลังกายต้องเริ่มเป็นผู้คุยก่อน ค่อยๆ คุยไป ตอนแรกๆ ผู้น้อยคงไม่ค่อยกล้าพูดตอบ แต่นานๆ เข้าก็จะกล้าพูดเอง และในที่สุด แบบค่อยเป็นค่อยไป ก็จะได้ข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ต่างๆ เหล่านี้ แต่ก็ต้องกลั่นกรองข้อมูลให้ดี ไม่ใช่เชื่อทุกอย่าง เหมือนข้อมูลที่ส่งมาทางไลน์ ต้องกลั่นกรองก่อน ถ้าไม่แน่ใจก็ต้องไม่ส่งต่อ ถึงบางครั้งเป็นข้อมูลที่ถูกต้องแต่อาจนำผลที่ไม่ดีงามต่อประเทศก็ต้องไม่ส่งต่อ ฯลฯ
อีกวิธีหนึ่งที่จะได้ข้อมูลดีๆ คือ การพาเจ้าหน้าที่ผู้น้อยไปต่างจังหวัดหรือต่างประเทศด้วย ผมค้นพบวิธีนี้โดยบังเอิญในการไปต่างจังหวัดและต่างประเทศ โดยไปกับคุณหมอที่มีอาวุโสต่างๆ ตั้งแต่แพทย์ประจำบ้าน (Residents ทางอายุรศาสตร์) จนถึงแพทย์ประจำบ้านต่อยอด (Fellows ทางระบบทางเดินอาหาร) การอยู่ด้วยกัน 3-7 วัน ทำให้เราสนิทกัน บางครั้งเนื่องจากงบประมาณจำกัด เรานอนห้องเดียวกันด้วย เรากิน นอน ประชุม เที่ยวด้วยกัน ทำให้ทุกๆ คนสนิทกันมาก การที่เราอยู่ด้วยกันเช่นนี้ ทำให้เรามองออกว่าลูกศิษย์เราเป็นคนอย่างไร มีจุดอ่อนอะไรบ้าง ขยัน ขี้เกียจเพียงไหน ฯลฯ ผมพบว่าการไปต่างจังหวัด ต่างประเทศ ด้วยกันเป็นวิธี “สัมภาษณ์” เพื่อที่จะรับคนหนึ่งคนใดเป็นอาจารย์ที่ดีที่สุด นอกจากนั้นยังทำให้ทุกๆ คนใกล้ชิด สนิทสนมกัน มีความสามัคคี เป็นห่วงเป็นใยซึ่งกันและกัน และในที่สุดเด็กๆ ก็จะค่อยๆ กล้าพูดขึ้นมา และผู้ใหญ่ต้องตั้งใจฟังอย่างจริงจัง
ผู้ใหญ่ต้องตั้งใจฟังจริงๆ อย่างมีเหตุผล อย่าไปมีอคติว่านี่เป็นความคิดของผู้น้อย ฯลฯ แต่ผู้น้อยเองก็ต้องมีใจกว้าง และต้องเข้าใจผู้ใหญ่ด้วย ผู้น้อยส่วนใหญ่มองภาพเล็กกว่าที่ผู้ใหญ่มอง
เช่น อาจมองเห็นภาพเฉพาะฝ่ายของตนเอง แต่หัวหน้าต้องมองทุกฝ่ายและทั้งองค์กรอีกด้วย ฉะนั้นเมื่อผู้น้อยให้ข้อมูล ข้อคิดเห็นแก่ผู้ใหญ่แล้ว ผู้น้อยยังต้องเปิดใจกว้างว่าผู้ใหญ่อาจมองภาพกว้างกว่า มีเหตุผลดีกว่าด้วย ไม่ใช่ว่าเราพูดอะไร เสนออะไร ผู้ใหญ่ต้องทำแบบนั้นทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นความคิดของเด็กหรือผู้ใหญ่ จะต้องมองข้อมูลให้ครบถ้วน และดูทั้งข้อดีและข้อเสียของแต่ละความคิด สรุปคือต้องคิดถึงเหตุผล ฯลฯ
ในที่ประชุม ประธานต้องฟังความคิดเห็นจากทุกๆ คน ไม่ใช่จะชี้ให้พวกเดียวกันพูดและฟังเท่านั้น แต่ต้องให้คนที่อาจไม่ใช่พวกเดียวกันพูดและต้องฟังเขาด้วย ถ้าทำแบบนี้ตลอดเวลาจะได้รับการเคารพนับถือไว้วางใจ จากคนที่อยู่คนละพรรคหรือคนละพวก ผู้ใหญ่ ประธานที่ดี ต้องตัดสินใจด้วยการใช้สมองตัดสิน (เหตุผล) ไม่ใช่ใช้หัวใจตัดสิน (ความรู้สึกว่าเป็นพวกเดียวกัน)
การจัดให้มีการพบกันเป็นระยะๆ ระหว่างการทำงานเป็นสิ่งที่ดี เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกๆ คนพูดถึงปัญหา อุปสรรค ฯลฯ ขององค์กร
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี