เมื่อเร็วๆ นี้ มีข่าวในโลกโซเชียลพูดกันว่ามีเห็บเข้าไปวางไข่ในหูของเด็กชายวัย 4 ขวบ ที่บ่นปวดหูมาหลายวัน ซึ่งปรากฏว่ามีเห็บเข้าไปในหูของเด็กคนนั้นจริงๆ หลายคนวิตก และบางคนถึงขั้นกลัวที่จะเลี้ยงสุนัขกันไปเลย วันนี้เรามาคุยกันครับ ว่ากรณีดังกล่าวนี้มีโอกาสเกิดขึ้นได้มากน้อยเพียงใด
เนื่องจากสภาพอากาศที่ทั้งร้อนๆ ชื้นๆ แบบบ้านเราปัญหาเห็บ หมัด และปรสิตภายนอก จึงเป็นปัญหาที่มักจะเจอได้บ่อย และเป็นเรื่องปวดศีรษะสำหรับเจ้าของสุนัขเป็นอย่างมาก โดยชนิดที่ก่อให้เกิดอาการเจ็บป่วยได้บ่อยกว่าตัวอื่นก็คือ “เห็บ” นั่นเอง
ก่อนอื่นเรามารู้จักกันก่อนว่า เห็บมีลักษณะอย่างไรมีวงจรชีวิตอย่างไร และมีอันตรายต่อสัตว์เลี้ยงของเราอย่างไรครับ
@ เห็บคืออะไร ??
เห็บสุนัข หรือ Brown dog tick เป็นสิ่งมีชีวิตแปลกปลอมตัวเล็กๆ ที่พบได้ตามผิวหนังของเจ้าตูบ รวมถึงตามผนังห้อง กำแพง สนามหญ้า หรือตามมุมต่างๆ ในบ้าน รวมถึงบางครั้งอาจจะก่อให้เกิดความรำคาญกับผิวหนังของคนด้วย
ซึ่งเห็บสุนัข ถือเป็นปรสิตภายนอกที่สำคัญของสุนัขมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า “Rhipicephalus sanguineus” ซึ่งเห็บจะกินเลือดสดๆ จากสุนัขเป็นอาหาร โดยเห็บจะมี อวัยวะพิเศษที่ปาก ยื่นออกมา และฝังลงไปที่ผิวหนัง ทำให้เกาะติดแน่นในผิวหนังของสุนัขครับ
โดยปกติแล้วเห็บแต่ละชนิดจะมีโฮสต์หรือผู้ถูกอาศัย(ที่เห็บจะอยู่แบบถาวร) เป็นของตัวเองครับ เช่น เห็บสุนัขก็ชอบอยู่กับสุนัข แต่ถ้าจะถามว่าเห็บสุนัขสามารถขึ้นไปบนตัวสัตว์อื่นหรือคนได้หรือไม่นั้น ขอตอบว่า “มีโอกาสเกิดได้ครับ”แต่กรณีนี้ถือเป็น “accidental host” หรือ “ผู้ถูกอาศัยโดยบังเอิญ” ที่เจอได้ค่อนข้างน้อย และเห็บนั้นก็อาจดูดเลือดสัตว์หรือคนอื่นหรือไม่ก็ได้ แต่จะไม่อยู่เป็นการถาวร เพราะไม่ใช่ผู้ถูกอาศัยที่แท้จริงครับ
@ เห็บสุนัขก่อให้เกิดปัญหาอะไรได้บ้าง
เวลาเห็บกัดนั้น ก่อนที่จะกินเลือดสุนัข เห็บจะปล่อยสารต้านการแข็งตัวของเลือดไปที่รอยกัดก่อน เพื่อทำให้เลือด
ที่บริเวณแผลไม่แข็งตัวและไหลได้สะดวก เราจะสังเกตได้ว่าเมื่อเราดึงเห็บออกจากตัวสุนัข เลือดมักจะไหลหยดตามออกมา และหยุดไหลค่อนยาก
ปัญหาจากเห็บนั้นจะก่อให้เกิดความผิดปกติต่างๆ ในสุนัขได้แก่ โรคผิวหนังจากการแพ้และคัน สุขภาพผิวหนังอ่อนแอที่สำคัญยังเป็นพาหะนำโรค ไข้เห็บ (Tick fever) หรือ พยาธิเม็ดเลือด (Blood parasite)ซึ่งก่อให้เกิด สภาพโลหิตจาง และร่างกายทรุดโทรม ตามมาด้วยครับ
โรคพยาธิในเม็ดเลือดนี้มีเชื้อโปรโตซัวและริกเก็ตเซียเป็นตัวก่อโรค ได้แก่ กลุ่ม Ehrlichia, Babesia และ Hepatozoon ในช่วงที่เห็บจะดูดเลือดนั้น เห็บจะปล่อยสารที่มีฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือดเข้าไปทางรอยแผลที่กัด หากเห็บตัวนั้นเชื้อที่ก่อโรคอยู่ในตัวอยู่แล้ว เชื้อเหล่านั้นก็จะถูกปล่อยเข้าร่างกายสุนัขไปด้วย ทำให้สุนัขป่วย ซึ่งโรคพยาธิเม็ดเลือดนี้ มีอันตรายถึงชีวิต และน่ากลัวไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า “ไข้เลือดออกในคน”เลยทีเดียวครับ
@ เราจะทราบได้อย่างไรว่าสุนัขของเรามีเห็บ
เมื่อเห็นสุนัขมีอาการคัน สุนัขจะใช้ขาเกาผิวหนัง เราลองใช้มือลูบตามตัวสุนัข โดยเฉพาะบริเวณที่เกา จะรู้สึกสะดุดมือเหมือนมีสะเก็ดที่ผิวหนัง และเมื่อแหวกขนไปสำรวจดู มักจะเห็นเห็บตัวดำๆ กลมๆ เกาะติดผิวหนัง ซึ่งมีขนาดเล็กๆ ตั้งแต่เป็นจุดเล็กๆ จนถึงมีขนาดใหญ่ เหมือนเมล็ดแตงโมบวมๆ ทีเดียวครับ
เรื่องของเห็บยังไม่จบแค่นี้ สัปดาห์หน้าเรามาคุยกันถึงวงจรชีวิตและการติดต่อ รวมถึงการป้องกันไม่ให้เห็บเข้าหู
กันครับ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์นายสัตวแพทย์ดร.ทิลดิสร์ รุ่งเรืองกิจไกร
ฝ่ายประชาสัมพันธ์และส่งเสริมภาพลักษณ์องค์กร
คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี