เมื่อคราวที่แล้ว เราได้คุยกันถึงเรื่องราวของ “เห็บ” ที่เป็นข่าวกันไปแล้ว วันนี้เราจะมาคุยกันถึงการกำจัดเห็บ และ ชนิดของผลิตภัณฑ์ที่ใช้กำจัด รวมถึงวิธีใช้ ข้อจำกัดและข้อดีข้อเสียของแต่ละประเภท กันครับ
ปัจจุบันนี้ วิธีการและแนวทางการกำจัดเห็บนั้น มีหลายอย่างให้เลือกครับ ไม่ว่าจะเป็นในรูปของ ยาหยดหลัง สเปรย์ ปลอกคอกำจัดเห็บ แชมพู แป้ง ยาฉีด ยากิน หรือว่าจะเป็นยาผสมน้ำ
แช่ตัวสัตว์ ซึ่งแต่ละประเภท ก็จะมีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันครับวันนี้เราจะมาเจาะลงไปในแต่ละประเภทกันครับ
1.ยาหยดหลัง (spot on) :
เป็นชนิดยาที่ที่นิยมมากในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นวิธีที่สะดวก รวดเร็ว และไม่เลอะเทอะอีกด้วย เนื่องจากมีปริมาณยาไม่มาก เพียงแค่ไม่กี่ซีซีต่อตัวเท่านั้น
ยาประเภทนี้ (ต้องย้ำว่า ไม่รวมถึง “ยาปลอม” ที่เป็นของเหลวบรรจุในขวดแก้วสีชา หรือพลาสติก ที่ไม่ได้มีฉลาก หรือมีฉลากแต่ไม่ได้ให้รายละเอียดของตัวยาที่ออกฤทธิ์ ยาปลอมเหล่านี้
มัก “แอบ” วางขายตามที่ต่างๆ ที่ไม่ใช่คลินิกสัตวแพทย์) ยาในกลุ่มยาหยดหลัง (ยาของจริง) จะมีความปลอดภัยค่อนข้างสูง และไม่ค่อยเกิดการแพ้ครับ
วิธีใช้จะหยดบนผิวหนังบริเวณหลังคอ ใกล้กับหัวไหล่ ตัวยาจะทำงานโดยกระจายไปตามไขมันที่คลุมผิวหนังและไปเก็บสะสมที่ต่อมไขมันใต้ผิวหนัง และค่อยๆ หลั่งออกมา มักใช้ยานี้ฆ่าเห็บหมัดที่อยู่บนตัวสุนัข ซึ่งสามารถควบคุมได้ประมาณ 1 เดือนครับ (ปัจจุบันมักมีการพัฒนาตัวยาให้ออกฤทธิ์ได้นานหลายเดือนขึ้น และสามารถกำจัดพยาธิในทางเดินอาหาร และ/หรือพยาธิหัวใจ รวมถึงไรขี้เรือนได้ด้วย)
ยาชนิดนี้ มีข้อจำกัดคือ ปริมาณที่ใช้นั้น ต้องขึ้นกับขนาดและน้ำหนักตัวของสุนัข (และแมว) ตัวยาอาจถูกล้างออกด้วยแชมพูบางชนิดได้ รวมถึงต้องอาศัยไขมันที่ผิวหนังเป็นตัวพายาไปทั่วร่างกาย ดังนั้นเพื่อให้เกิดผลที่ดี จึงอาจต้องงดอาบน้ำทั้งก่อนและหลังหยอดยา รวมถึงข้อเสียอีกอย่างคือ ตัวยามีราคาค่อนข้างแพง (ไม่รวมถึงของที่ทำเลียนแบบที่บรรจุขวดนะครับ) นอกจากนี้จะใช้ระยะเวลาในการออกฤทธิ์ช้ากว่าแบบสเปรย์ครับ
2.ยาพ่น (spray) :
ใช้ยาชนิดนี้ “ฉีดพ่น” บนตัวสุนัขเพื่อฆ่าเห็บและหมัดที่อยู่ “บนตัวสุนัข“ ยาประเภทนี้จะควบคุมได้ค่อนข้างสั้น คือประมาณ1 สัปดาห์-1 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิด
หลังใช้ยาแบบสเปรย์นี้ เห็บหมัดมักตายทันที เนื่องจากยาที่ให้จะกระจายไปทั่วตัวและสัมผัสกับเห็บโดยตรงและทันที จึงทำให้ได้ผลเร็วกว่าชนิดหยดหลัง
ยาชนิดนี้มีข้อจำกัดคือ ระยะเวลาป้องกันอาจสั้นกว่ายาหยด เลอะเทอะและอันตรายมากกว่า เพราะอาจเข้าปากหรือเข้าตาสุนัขได้ง่าย ต้องทำด้วยความระมัดระวังมากหน่อย
3.ปลอกคอกำจัดเห็บ :
เราใช้อุปกรณ์นี้สวมที่คอให้สุนัขเพื่อให้ตัวยาในปลอกคอค่อยๆ ซึมลงผิวหนังและกระจายไปทั่วร่างกาย วิธีนี้ค่อนข้างสะดวก สามารถควบคุมได้นาน ตั้งแต่ 3-6 เดือน จึงคิดเป็นราคาค่อนข้างไม่แพงเมื่อคิดเทียบต่อจำนวนวันที่ใช้
แต่มีข้อจำกัดคือ มักใช้ไม่ค่อยได้ผลกับสุนัขขนยาว หรือสุนัขที่มีขนที่หนา รวมถึงสุนัขบางตัวอาจมีอาการแพ้หรือคันบริเวณคอ เนื่องจากความเข้มข้นของยาในปลอกคอค่อนข้างมาก และต้องระวังไม่ให้สุนัขกัดแทะปลอกคอด้วย เพราะจะเท่ากับกินยาเข้าไปโดยตรง
4.แชมพูกำจัดเห็บ :
ใช้ฟอกตัวอาบน้ำเพื่อฆ่าเห็บหมัดที่อยู่บนตัวสุนัข เป็นอีกวิธีที่สะดวก แต่ระยะเวลาที่ใช้ป้องกันค่อนข้างสั้น เพียง 1-7 วันเท่านั้น
การกำจัดเห็บด้วยการอาบนี้ สามารถทำได้บ่อย และเป็นวิธีที่ค่อนข้างปลอดภัย เห็บหมัดมักจะตายทันที ที่สำคัญจะมีราคาถูกกว่าชนิดอื่น จะเป็นการดีมาก ถ้าเจ้าของเป็นคนชอบอาบน้ำให้สุนัข หรือสุนัขไม่เครียดกับการอาบน้ำ และ/หรือสุนัขมีโปรแกรมการอาบน้ำเป็นประจำทุกสัปดาห์อยู่แล้ว
ยาชนิดนี้มีข้อจำกัดคือ สามารถฆ่าได้เฉพาะตัวแก่ที่อยู่บนตัวสุนัขเท่านั้น เห็บตัวใหม่ก็ยังสามารถขึ้นมาอยู่บนตัวสุนัขได้ภายในไม่กี่วันหลังอาบน้ำ จึงต้องอาบน้ำซ้ำ เมื่อเริ่มเห็นเห็บ (ชุดใหม่) กลับขึ้นมาบนตัวสุนัขอีก ที่สำคัญ ในสุนัขบางตัวอาจเกิดอาการแพ้และคันผิวหนัง หากล้างแชมพูออกไม่หมดได้ จึงต้องเลือกให้เหมาะกับสุนัขแต่ละตัวด้วย
ชนิดของยาที่ใช้กำจัดเห็บยังไม่หมดแค่นี้ สัปดาห์หน้าเรามาดูยากำจัดเห็บชนิดอื่นกันต่อครับ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร.ทิลดิสร์ รุ่งเรืองกิจไกร
ฝ่ายประชาสัมพันธ์และส่งเสริมภาพลักษณ์องค์กร
คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี