เมื่อวันที่ 7 ม.ค. 2562 ผลการเลือกตั้งกรรมการแพทยสภาได้ออกมา มีที่ให้เลือก 29 คน จากทั้งหมดที่สมัคร กรรมการแพทยสภาประกอบด้วย กรรมการโดยตำแหน่ง เช่น ปลัดกระทรวงสาธารณสุข อธิบดีกรมอนามัย อธิบดีกรมการแพทย์ คณบดีทุกคณะ (แต่อีกหน่อยคงต้องเปลี่ยนให้เลือกเฉพาะผู้แทน เพราะมีคณะแพทยศาสตร์เพิ่มขึ้นมากมาย) เจ้ากรมแพทย์ทหารบก เรือ อากาศ แพทย์ใหญ่ตำรวจ ฯลฯ โดยให้มีตำแหน่งจากการเลือกตั้งเท่ากับจำนวนที่ที่เป็นโดยตำแหน่ง สรุปก็คือ กรรมการแพทยสภาปัจจุบันนี้มี 58 ตำแหน่ง ซึ่งผมว่าใหญ่ อุ้ยอ้ายไป ทำอะไรทีจะเคลื่อนไหวช้ามาก แต่ถ้าจะเปลี่ยนจะต้องเปลี่ยน พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525
ก่อนอื่นก็ต้องขอแสดงความยินดีต่อทุกๆ ท่านที่ได้รับเลือกเข้ามาเป็นกรรมการแพทยสภาซึ่งในฐานะที่ผมเคยเป็นกรรมการแพทยสภา 3 วาระ วาระละ 2 ปี และ 4 ปีแรกเป็นเลขาธิการแพทยสภา (2546-2552) และที่หยุดทำงานที่แพทยสภาเพราะได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา (2551-2554) จึงได้ลาออกจากกรรมการแพทยสภาในวาระที่ 3 เนื่องจากเกรงว่าอาจจะมีผลประโยชน์ซับซ้อน ผมถือว่าการเป็นกรรมการแพทยสภาเป็นเกียรติอย่างยิ่ง เพราะเป็นตัวแทนของแพทย์ทั้งประเทศ ซึ่งมีอยู่ประมาณ 57,000 คน
ในฐานะที่เคยอยู่ที่แพทยสภา ที่ออกไปเยี่ยมแพทย์ทั่วประเทศเกือบหรือทุกจังหวัด ผมรู้ปัญหาของแพทย์ สาธารณสุข และของประชาชน รวมทั้งผู้ป่วย ค่อนข้างดี ผมอยากให้กรรมการทุกๆ ท่าน รวมทั้งที่เป็นกรรมการแพทยสภาโดยตำแหน่ง อ่าน พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525 และข้อบังคับแพทยสภา ขอให้อ่านทั้งเล่ม โดยเฉพาะหมวด 1 มาตรา 7 ซึ่งมีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้
(1) ควบคุมการประพฤติของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมให้ถูกต้องตามจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม
(2) ส่งเสริมการศึกษา การวิจัย และการประกอบวิชาชีพในทางการแพทย์
(3) ส่งเสริมความสามัคคีและผดุงเกียรติของสมาชิก
(4) ช่วยเหลือ แนะนำ เผยแพร่ และให้การศึกษาแก่ประชาชนและองค์กรอื่นในเรื่องที่เกี่ยวกับการแพทย์และการสาธารณสุข
(5) ให้คำปรึกษาหรือข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลเกี่ยวกับปัญหาการแพทย์และการสาธารณสุขของประเทศ
(6) เป็นตัวแทนของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมในประเทศไทย
รวมทั้งผมอยากให้กรรมการแพทยสภา (และคุณหมอทุกๆ คน) จำพระราชดำรัสของ “พระราชบิดา” สมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก คือ “ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตน
เป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์ เป็นกิจที่หนึ่ง ลาภทรัพย์ และเกียรติยศจะตกแก่ท่านเอง ถ้าท่านทรงธรรมแห่งอาชีพ ไว้ให้บริสุทธิ์” จริงๆ แล้วพระราชดำรัสนี้ใช้ได้กับทุกๆ คนโดยเฉพาะผู้บริหารประเทศ ฯลฯ
ตอนที่ผมได้รับเลือกตั้งเป็นกรรมการแพทยสภาครั้งแรกในปี พ.ศ.2546-2548 ผมได้รับเลือกให้เป็นเลขาธิการเลย ซึ่งไม่ควรเลือกผมเลย เพราะผมเพิ่งเข้ามา ไม่รู้เรื่องหน้าที่ของ แพทยสภา ตอนนั้นท่านนายกแพทยสภา (อ.สมศักดิ์) เลือกผมเป็นเลขาทั้งๆ ที่ไม่รู้จักกันส่วนหนึ่งเพราะไม่มีใครอยากเป็นเลขาธิการ ผมตอนนั้นเป็นประธานราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย และเคยเป็นนายกสมาคมแพทย์ระบบทางเดินอาหารแห่งประเทศไทยมาแล้ว และยังเป็นแพทย์ที่สอนทางด้านเวชศาสตร์การกีฬา รวมทั้งเดินทางไปสอนที่ต่างจังหวัดเป็นประจำ จึงเป็นที่รู้จักพอสมควรในวงการแพทย์รวมทั้งไม่ได้ทำร้านหรือที่โรงพยาบาลเอกชนด้วย พยายามปฏิเสธหลายครั้งแต่กรรมการต่างๆ ก็ขอให้เป็น จึงต้องรับ แต่ความเห็นส่วนตัวตอนนั้นคือ ควรเลือกผู้ที่เป็นกรรมการมาแล้ว ที่รู้หน้าที่ ปัญหา อุปสรรคของการทำงานของแพทยสภาเป็นอย่างดี
แต่เมื่อผมจำใจรับแล้วผมก็ไปศึกษางาน โดยอ่าน พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรมหลายเที่ยว อ่านแล้วอ่านอีก โดยเฉพาะมาตรา 7 วัตถุประสงค์ ฯลฯ ซึ่งก่อนหน้าที่ผมจะมาเป็นเลขาธิการ ผมได้สอนแพทย์ประจำบ้านอายุรศาสตร์ปีที่ 2 แพทย์ประจำบ้านต่อยอดสาขาวิชาระบบทางเดินอาหาร ทุกเช้าระหว่าง 07.00-08.00 น. ทุกเช้ามาหลายสิบปี (จนถึงบัดนี้) ผมจึงมีความคิดว่าผมอยากให้ลูกศิษย์เป็นคนดี ที่เก่ง ที่รอบรู้ และมีสุขภาพที่ดี ซึ่งต่อมาคุณสมบัติต่างๆ นี้เข้าได้กับคนไทย 4.0 (หรือในอนาคต 5.0,6.0 ฯลฯ ได้เป็นอย่างดี และผมได้นำคุณสมบัติต่างๆ นี้มาเสนอให้คุณหมอพึงมี
แพทยสภาในความเห็นของผมต้องเป็นเสาหลักให้แก่บ้านเมือง ต้องเป็นที่ไว้วางใจของสังคม ทั้งรัฐบาล เอกชน ทั้งแพทย์และประชาชน เราดูแลหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิตอย่างกว้างๆ ในแง่ของหลักสูตร แต่มอบการเรียน การสอน การสอบ ให้แก่มหาวิทยาลัย (ยกเว้นส่วนที่จะสอบเพื่อได้มาสู่การเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม) และดูแลการศึกษาหลังปริญญาไปในทางวิชาชีพ คือ การฝึกอบรมและเรียนเป็นผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ในสาขาต่างๆ ส่วนปริญญาดุษฎีบัณฑิตเป็นหน้าที่ของมหาวิทยาลัยต่างๆ ปัจจุบันนี้มีสาขาและอนุสาขาทางการแพทย์ถึง 80 กว่าสาขา
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี