(ต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว)
นางสาววิจิตา รชตะนันทิกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านการส่งเสริม และพัฒนาคุณภาพชีวิต คนพิการ กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ได้กล่าวแสดงความคิดเห็น ดังนี้
พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการถือเป็นกฎหมายที่เป็นนวัตกรรม กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ หรือ พก. เป็นทั้งหน่วยงานปฏิบัติ ขับเคลื่อน และส่งเสริมผลักดันให้มีกฎหมายฉบับนี้ขึ้นมา ร่วมกับผู้แทนทุกภาคส่วน รวมทั้งองค์กรด้านคนพิการซึ่งเป็นหน่วยงานหลัก เจตนารมณ์ของกฎหมายเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิในทุกมาตราที่กำหนดไว้ในกฎหมาย ซึ่งเริ่มตั้งแต่การแต่งตั้งคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ โดยวางระบบไว้ว่าเรื่องของคนพิการไม่ได้อยู่ที่หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งภาคส่วนใดภาคส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่อยู่ในส่วนของทุกระบบของประเทศไทย ตั้งแต่ภาคราชการ ภาคองค์กรด้านคนพิการ กฎหมายยังกำหนดให้มีผู้ทรงคุณวุฒิเป็นคณะกรรมการระดับชาติด้านคนพิการด้วย จะเห็นว่าทุกภาคส่วนเป็นภารกิจในการดำเนินงานร่วมกัน ด้านการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิของคนพิการ กฎหมายได้กำหนดกลไกการติดตามตรวจสอบ อาทิ คณะอนุกรรมการขจัดการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อคนพิการ กลไกการจัดการบริหารกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ คณะอนุกรรมการบริหารกองทุน กลไกการตรวจสอบติดตามการใช้จ่ายเงินกองทุน โดยมีคณะกรรมการติดตามประเมินผลกองทุน กลไกการกำหนดให้ทุกหน่วยงานภาคราชการต้องรับผิดชอบดำเนินการตามกฎหมายตามหน้าที่ของหน่วยงานนั้น กลไกการมอบอำนาจให้องค์กรด้านคนพิการทำหน้าที่ขับเคลื่อนการดำเนินงานตามกฎหมายและสิทธิในการตรวจสอบงานของราชการ และอีกกลไกที่สำคัญต่อขับเคลื่อนการทำงานในระดับพื้นที่ คือ การมีศูนย์บริการคนพิการระดับจังหวัด และศูนย์บริการคนพิการทั่วไปที่ได้กำหนดกลไกการทำงานอย่างครบถ้วนและครอบคลุม
การส่งเสริมการมีงานทำของคนพิการซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ และถูกบรรจุไว้ในกฎหมายทุกๆ ครั้งที่มีการขับเคลื่อนซึ่งกฎหมายเมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๔ ได้กำหนดการจ้างงานคนพิการไว้ในสัดส่วนลูกจ้าง ๒๐๐ คนต่อคนพิการ ๑ คนซึ่งนำต้นแบบมาจากประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นกฎหมายให้แต้มต่อ ระบบการจ้างงานคนพิการยังมีประเด็นข้อขัดข้องในบางส่วน เมื่อได้แก้ไขกฎหมาย ในปี พ.ศ. ๒๕๕๐ ได้บัญญัติเรื่องจากจ้างงานไว้ในมาตรา ๓๓ มาตรา ๓๔ และมาตรา ๓๕ เป็นทางเลือกตามมาตรา ๓๕ ที่ได้เพิ่มเติมขึ้นมาจากกฎหมายเดิม ทั้งนี้ พก. ถือเป็นหน่วยงานที่มีฐานข้อมูลคนพิการในระดับประเทศ มาตรา ๑๙ ได้กำหนดสิทธิประโยชน์ของคนพิการที่ขอมีบัตรประจำตัวคนพิการตามกฎหมาย ปัจจุบันมีคนพิการขอขึ้นทะเบียนเพิ่มขึ้นทั่วประเทศปีละกว่า ๑ แสนคน เดือนละกว่า ๑ หมื่นคน ปัจจุบันมีจำนวนคนพิการที่ขึ้นทะเบียนแล้วกว่า ๒ ล้านคน โดยจำนวนคนพิการที่เพิ่มมากขึ้นกว่าร้อยละ ๕๒ เป็นกลุ่มผู้สูงอายุซึ่งจะมีความพิการอยู่ด้วย
คนพิการวัยแรงงาน ในช่วงอายุ ๑๕ ปีขึ้นไปมีจำนวนกว่า ๘ แสนคน สามารถเข้าสู่กระบวนการส่งเสริมการมีงานทำในระบบของกฎหมายตามมาตรา ๓๓ มาตรา ๓๕จำนวนกว่า ๗ หมื่นคน เข้าสู่กระบวนการกู้ยืมเงินทุนเพื่อประกอบอาชีพอิสระ จำนวนกว่า ๒ หมื่นคน เมื่อพิจารณามาตรา ๓๕ ซึ่งเป็นทางเลือกในการส่งเสริมการมีอาชีพของคนพิการ และเป็นนวัตกรรมทางกฎหมายของประเทศไทย โดยประเทศในระดับอาเซียนก็ยังไม่มีประเทศใดที่มีการดำเนินงานในลักษณะนี้ การส่งเสริมอาชีพสำหรับคนพิการตามมาตรา ๓๕ ที่กำหนดทางเลือกไว้ ๗ วิธีการ เพื่อนำไปสู่ความยั่งยืนของการประกอบอาชีพและการจ้างงานคนพิการทางหลักตามมาตรา ๓๓ โดยมีกลไกการสร้างความยั่งยืนตามมาตรา ๓๕ ที่สามารถเปลี่ยนแปลง ให้กลุ่มเป้าหมายคนพิการได้เป็นผู้ประกอบการรายย่อย SMEs หรือสามารถเป็นผู้ประกอบการเพื่อสังคม ที่เรียกว่า Social Enterprise ถือเป็นทางเลือกในการสร้างนวัตกรรมให้ไปสู่ความยั่งยืน ทั้งนี้ แม้จะเป็นทางเลือกหรือทางที่จะสร้างความยั่งยืน แต่ก็ยังมีช่องว่างหรือปัญหาในการปฏิบัติและกลไกการติดตามตรวจสอบการดำเนินงาน ดังนั้น พก. และกรมจัดการหางานในฐานะเป็นหน่วยงานที่เป็นองค์กรคู่ขนาน ที่ทำงานคู่กันไปในกระบวนการตรวจสอบติดตามการดำเนินงานหรือการอนุญาตให้สิทธิในการดำเนินงานตามมาตรา ๓๕ ได้หารือร่วมกันเพื่อกำหนดกระบวนการตรวจสอบให้มีความเข้มแข็งและเข้มข้นมากขึ้น เพื่อให้กฎหมายและระเบียบตามมาตรา ๓๕ได้บังคับใช้ให้มีประสิทธิภาพและนำไปสู่ความยั่งยืนในการ มีอาชีพของคนพิการได้อย่างเป็นรูปธรรม โดย กำหนดแนวทาง ๓ ในกระบวนการ คือ (๑) กลไก การตรวจสอบติดตาม ทั้งกลไกที่มีอยู่ คือ คณะอนุกรรมการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อคนพิการ และกลไกทางปกครอง คือให้อำนาจผู้บริหารราชการจังหวัดทุกจังหวัดตรวจสอบติดตามโดยมีคณะกรรมการตรวจสอบติดตามในระดับพื้นที่(๒) ระบบการเชื่อมโยงข้อมูลการดำเนินงานระหว่างหน่วยงานที่ทำงานร่วมกัน อาทิ พก. กรมการจัดหางาน สำนักงานประกันสังคม และคุ้มครองสวัสดิการแรงงาน เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนของบุคคล และ (๓) ระบบการร้องเรียน ร้องทุกข์ ซึ่งมีข้อเสนอร่วมกันระหว่างกรมการจัดหางานกับ พก. ว่าควรมีกระบวนการรับเรื่องราวร้องทุกข์มีศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์เพื่อเป็นช่องทางในการรับฟังปัญหาต่างๆ เพื่อขับเคลื่อนกระบวนการดำเนินงานไปด้วยกัน
ว่าที่ร้อยตรี ภูริพงษ์ วารีศรี นักวิชาการแรงงานชำนาญการ กองพัฒนาระบบบริการจัดหางาน กรมการจัดหางาน ได้กล่าวแสดงความคิดเห็น ดังนี้
การส่งเสริมการมีงานทำของคนพิการตามมาตรา ๓๕เป็นการส่งเสริมให้คนพิการ ที่ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติตามมาตรา ๓๓ ทั้งนี้ยังรวมถึงผู้ดูแลคนพิการที่สามารถรับสิทธิแทนคนพิการได้ ความพิเศษของมาตรา ๓๕ คือมีทางเลือกหรือกิจกรรมทั้งหมด ๗ กิจกรรมโดยกำหนดไว้ในระเบียบภายใต้มาตรา ๓๕ ที่กำหนดให้นายจ้าง สถานประกอบการ หรือหน่วยงานของรัฐ จัดให้สัมปทานพื้นที่การจ้างเหมาช่วงงาน การจัดสิ่งอำนวยความสะดวก ล่ามภาษามือ ฝึกงาน หรือว่าช่วยเหลืออื่นใด ซึ่ง ๗ กิจกรรมสามารถเลือกทำผสมผสานกันระหว่างมาตรา ๓๓ และมาตรา ๓๕ รวมกันให้ครบตามสัดส่วนการจ้างงานที่กฎหมายกำหนด คือ ลูกจ้าง ๑๐๐ ต่อคนพิการ ๑ คน ตามกฎกระทรวง พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งนอกจากสัดส่วนการจ้างงานคนพิการแล้ว ยังกำหนดเรื่องการนำส่งเงินเข้ากองทุนกรณีที่ไม่ดำเนินการตามมาตรา ๓๓ และ มาตรา ๓๕ จะต้องส่งเงินเข้ากองทุนตามค่าแรงขั้นต่ำคูณด้วยจำนวนคนพิการที่จะต้องรับ คูณด้วย ๓๖๕ วัน หรือคิดเป็นจำนวนเงิน ๑๐๙,๕๐๐ บาท ที่นายจ้างหรือสถานประกอบการจะต้องส่งเงินเข้ากองทุนกรณีที่ดำเนินการมาตรา ๓๓ หรือ มาตรา ๓๕ ไม่ครบถ้วน ทั้งนี้ ระเบียบมาตรา ๓๕ ได้กำหนดให้กรมการจัดหางาน โดยสำนักงานจัดหางานจังหวัด และสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ ซึ่งปัจจุบันมี ๑๐ เขตพื้นที่ เป็นหน่วยรับแจ้งการดำเนินการมาตรา ๓๕ จากนายจ้าง สถานประกอบการ และหน่วยงานของรัฐซึ่งมีขั้นตอนดำเนินงานที่สำคัญ ดังนี้
(๑) รับแจ้งสิทธิของนายจ้างหรือหน่วยงานรัฐ โดยก่อนที่นายจ้าง สถานประกอบการ หรือหน่วยงานภาครัฐจะดำเนินการตามมาตรา ๓๕ ในเบื้องต้นต้องได้รับการตรวจสอบเอกสารที่มายื่นว่าขอให้สิทธิลักษณะใดใน ๗ กิจกรรมของมาตรา ๓๕ มีลักษณะหรือรายละเอียดอย่างไร ที่จะให้สิทธิคนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการ พร้อมทั้งตรวจสอบโครงการที่ยื่นว่ามีความครบถ้วนสมบูรณ์หรือไม่
(๒) ตรวจสอบผู้ที่ได้รับสิทธิ คือ คนพิการหรือผู้ดูแลที่ได้รับสิทธิแทนคนพิการว่า เข้าหลักเกณฑ์หรือไม่ โดยในส่วนของผู้ดูแลคนพิการที่ขอรับสิทธิแทนคนพิการ ซึ่งคนพิการรายนั้นจะต้องเข้าหลักเกณฑ์ ดังนี้ (๑) เป็นผู้เยาว์ (๒) เป็นผู้สูงอายุที่อายุเกิน ๗๐ ปีขึ้นไป (๓) เป็นบุคคลเสมือนไร้ความสามารถ หรือไร้ความสามารถ หรือ (๔) เป็นบุคคลที่ไม่สามารถทำงานได้และได้รับการรับรอง จาก พมจ. หรือหน่วยงานย่อยของ พก. ทั้งนี้ หากคนพิการรายนั้นเข้าหลักเกณฑ์ที่กำหนดจะถือว่าผู้ดูแลสามารถใช้สิทธิแทนคนพิการได้อย่างสมบูรณ์
(๓) การพิจารณาหลักเกณฑ์การรับสิทธิ ในเบื้องต้นจะพิจารณาจากเอกสารโดย ดูว่าคนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการที่ได้รับสิทธิอยู่ในพื้นที่ไหน ตัวอย่างเช่น กรณีบริษัท ก. มายื่นให้สิทธิคนพิการในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เขตพื้นที่ ๑ โดยคนพิการที่ได้รับสิทธิอยู่ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ จะมีกระบวนการตรวจสอบดูว่าคนพิการรายนั้นมีความพร้อมในการรับสิทธิหรือไม่ โดยกรุงเทพมหานคร เขตพื้นที่ ๑ จะประสานไปยังสำนักงานจัดหางานจังหวัดเชียงใหม่เพื่อตรวจสอบตามหลักเกณฑ์ ๓ ข้อสำคัญ ได้แก่ (๑) คนพิการมีตัวตนหรือไม่ (๒) สิทธิที่คนพิการจะได้รับตามเอกสารของกรุงเทพมหานคร เขตพื้นที่ ๑ ส่งมาให้ตรวจสอบตรงกับสิทธิที่คนพิการจะได้รับหรือไม่ และคนพิการรับทราบสิทธินั้นหรือไม่(๓) คนพิการสามารถรับสิทธิตามหลักเกณฑ์ที่บริษัทให้มาหรือไม่ จากนั้นสำนักงานจัดหางานจังหวัดเชียงใหม่ จะมีหนังสือแจ้งกลับไปทางหน่วยต้นทางคือกรุงเทพมหานคร เขตพื้นที่ ๑ เพื่อมีหนังสือแจ้งไปยังนายจ้างสถานประกอบการหรือหน่วยงานรัฐให้ดำเนินการ และจะส่งสัญญาการให้สิทธิให้กับกรมการจัดหางานภายใน ๓๐ วัน รวมทั้งจะได้รายงานให้กับทาง พก. หรือ พมจ. ทราบว่ามีคนพิการได้รับสิทธิตามมาตรา ๓๕ แล้วประเภทใด และจำนวนกี่คน
สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ถนนอู่ทองใน ดุสิต กทม. 10300 email : dek_senate@hotmail.co.th หรือ Facebook: กมธ.พัฒนาสังคมหรือ กลุ่มงานคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและกิจการเด็กฯ วุฒิสภา โทร.02-831-9225-6 แฟกซ์ 02-831-9226
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี