ที่สภากาชาดไทยผมได้นำความรู้ทางด้านผู้สูงอายุ อุบัติเหตุบนท้องถนน ที่ได้รับมาจาก สนช. และในสมัยที่ผมเป็นสมาชิกวุฒิสภา (ระหว่างปี 2551-2554) ไปสอนเจ้าหน้าที่ และอาสายุวกาชาด(ผมสนใจมานานแล้วในฐานะเจ้าหน้าที่สภากาชาดไทย เพราะกาชาดสากลทำเรื่องความปลอดภัยบนท้องถนน รวมทั้งผู้สูงอายุ) นอกจากนั้นในช่วงปี 2551-2554 ช่วงที่เป็น สว. ผมได้รับเลือกให้เป็นเลขาธิการองค์การรัฐสภาของเอเชีย (AFPPD – Asian Forum of Parliamentarian on Populationand Development) ซึ่งได้มีโอกาสทำหลายเรื่องเกี่ยวกับประชากรและการพัฒนา เช่น ผู้สูงอายุ ความปลอดภัยบนท้องถนนโลกร้อน ความรุนแรง Harm Reduction การตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร HIV/AIDS ฯลฯ ได้มีโอกาสไปประชุมที่ต่างประเทศหลายสิบครั้งในช่วง 3 ปี (เงินของ AFPPD)
ผมรู้สึกสนุกที่ได้มีโอกาสบรรยาย ให้ข้อมูลแก่หลายหน่วยงานของประเทศ เรื่อง ผู้สูงอายุ การอบรม ลงทุน การดูแลสร้างเสริมสุขภาพป้องกันโรค ฯลฯ ปัญหาของผู้สูงอายุมีมาก ประเทศไทยมีผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อเปรียบเทียบกับยุโรป อเมริกา และมีปัญหาหลักๆ 3 อย่าง คือ การศึกษาของผู้สูงอายุยังน้อยมาก ผู้สูงอายุมีการออม ลงทุน น้อย สุขภาพไม่ดี ถึงแม้อายุจะยืนขึ้น ผมได้นำความรู้นี้มาสอนแก่แพทย์ประจำบ้านปีที่ 2 ของภาควิชาอายุรศาสตร์และแพทย์ประจำบ้านต่อยอด (Fellow) ของสาขาวิชาระบบทางเดินอาหารอีกด้วย
ในแง่ของการเงิน ออม ลงทุน ผมได้ซื้อ LTF, RMF เต็มอัตราที่ผมจะหักภาษีได้ ถือว่าเป็นการออมลงทุนเพื่ออนาคตและยังหักภาษีได้อีกด้วย นอกนั้นก็ซื้อกองทุนรวมเป็นรายเดือน (Dollar Cost Average) นานๆ ทีก็ซื้อหุ้น ซื้อหุ้นที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว ที่ต้องกิน ต้องใช้ ฯลฯ แต่ปี พ.ศ.2561 เป็นปีที่แม้แต่เซียนหุ้นยังบ่นว่าเล่นหุ้นยาก ผมขอย้ำว่าท่านใดที่มีเงินน้อย ไม่มีความรู้ ไม่มีเวลาที่จะติดตาม ซื้อกองทุนรวมจะดีกว่า เพราะบางกองทุน 500 บาทก็ซื้อได้แล้ว และกองทุนรวมมีผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้จัดการให้เราและเราไม่ต้องมีความรู้มากเกี่ยวกับเรื่องหุ้น ขอย้ำว่าทุกๆ คนต้องเริ่มต้นออม ลงทุนทันที ที่ได้รับเงินเดือนเดือนแรก อย่ารอจนเกษียณถึงคิดเรื่องเงิน หรือเมื่ออายุ 50 ปีแล้ว
ส่วนเรื่องของสุขภาพ ปีที่แล้วเป็นปีที่ไม่ดีเสียเลยสำหรับผม ผมเคยมีปัญหาที่กระดูกคอ หลัง ในปี 2561 ผมก็เป็นอีกที่คอและหลัง ต้องไปดึงคอ ใส่ปลอกคอ ดึงหลัง และซ้ำร้ายมีอาการชาที่มือ แขน ซึ่งค่อยๆ ลามไปถึงต้นแขนและถึงขาหนีบ ทำให้ผมกังวลพอสมควร ต้องหาสาเหตุกันจ้าละหวั่น แต่คณาจารย์ แพทย์ต่างๆ ตรวจไม่พบอะไรที่น่าเป็นห่วง แต่เนื่องจากอาการชาลามเร็วมากไม่หยุดนิ่ง ผมจึงต้องระงับการเดินทางไปประชุมที่ประเทศสเปนกับคณะของสภากาชาดไทย มีคุณหมอหลายท่าน (ทางประสาทวิทยา เวชศาสตร์ฟื้นฟู ผ่าตัดคอ ฯลฯ) ช่วยกรุณาดูและวินิจฉัยว่าผมไม่น่าเป็นอะไรมาก ให้ยาทาน อาการชาก็ดีขึ้น ขณะนี้ถึงแม้ไม่หายแต่ผมก็ชักชินกับความชา
และอาจจะเป็นเพราะผมก้มลง(ค่อยๆ ก้ม)เอามือแตะเท้าบ่อยๆ เพื่อยืดเส้น ถึงแม้ทำเสมอ แต่ช่วงหนึ่งที่ทำ พอยกตัวขึ้นมา ทำให้ปวดหลังและต่อมาปวดที่แก้มก้นด้านซ้าย ซึ่งอาการจะปวดมากตอนผมลุกขึ้นหลังจากท่าก้ม เช่น ก้มลงผูกเชือกรองเท้า ตอนก้มไม่เจ็บแต่ตอนลุกขึ้นจะเจ็บมาก หรือจะเจ็บตอนลุกขึ้นจากเตียง จะปวดแปล๊บเลย ประมาณ 3 วินาที ถ้าผมเดินสักพักอาการก็จะหาย บางครั้งอาการปวดก็ลงไปที่ขา แต่ไม่ปวดตลอดขา เพียงแต่ที่ก้นและที่ข้อเท้า ฯลฯตอนแรกผมนึกถึงโรคกระดูกสันหลัง (disc) แต่ผู้เชี่ยวชาญตรวจบอกว่าไม่ใช่ แพทย์ได้แนะนำให้ผมไม่ก้ม (แต่จะผูกรองเท้า ล้างเท้าตัวเองเวลาอาบน้ำ ฯลฯ ได้อย่างไร แพทย์ให้นั่งอาบ แต่การลุกจากนั่งหรือนอนก็ยังเป็นปัญหาอยู่) แพทย์ให้ยาทาน แต่จนปัจจุบันนี้ผมยังไม่แน่ใจว่าผมเป็นโรคอะไร สรุปคือ คล้ายๆ เป็นโรคของกล้ามเนื้อเอ็น อะไรทำนองนั้น เป็นอยู่นานมาก แต่พอใกล้ๆ ปลายปีก็ค่อยๆ ดีขึ้นตอนนี้ตอนลุกจากท่านั่งจะไม่เจ็บแล้ว ถือว่าในชีวิตปี 2561 เป็นปีที่แย่ที่สุดในแง่ของสุขภาพผม ยังดีที่ว่าอาการปวดของผมดีขึ้นเวลาเดิน ถ้าเดินแล้วปวดชีวิตของผมคงแย่ แต่นี่เคลื่อนไหวได้ เพียงแต่จะปวดตอนลุกจากนั่งหรือนอน หรือตอนลุกขึ้นมาหลังจากก้ม ขณะนี้อาการที่เหลืออยู่คืออาการชาที่มือและเท้า อาการปวดหายไปแล้ว ต้องขอขอบคุณเทวดา(และคุณหมอต่างๆ ด้วย!!)
ก็ได้แต่หวังว่าปีใหม่นี้อาการชา อาการปวดของผมจะหายไปอย่างสมบูรณ์ แต่ถึงแม้แพทย์ไม่ทราบแน่ชัดว่าผมเป็นโรคอะไรแต่ตราบใดที่มันดีขึ้นและไม่เป็นโรคอะไรที่แย่กว่านี้ ผมก็พอใจ เพราะอายุอานามก็มากขึ้นไปทุกๆ วัน ขณะนี้ก็ปาเข้าไป 70 กว่าปีแล้ว เมื่อเทียบกับหลายๆ คนยังถือว่าสุขภาพผมดีพอประมาณ เสียอย่างเดียวน้ำหนักที่ผมเคยสูงถึง 82-83 กก. และค่อยๆ ลงไปถึง 77 กก. ปัจจุบันนี้ค่อยๆ กลับมาเป็น 79-80 กก. อีกแล้ว การลดน้ำหนักเป็นเรื่องยากอยู่แล้ว แต่การควบคุมน้ำหนักที่ลดแล้ว ให้อยู่เท่าเดิม มันยากแสนสาหัส ขนาดผมมีวินัยพอสมควร ด้วยการเดินทั้งที่ทำงานและเดินในการออกกำลังกายที่บ้าน รวมแล้วเฉลี่ยวันละ 10,000 ก้าว แต่น้ำหนักผมก็ไม่ค่อยลง แต่ผมทราบดีว่าไม่ว่าจะออกกำลังกายเท่าใด น้ำหนักก็จะไม่ลด หรือไม่คงที่ ถ้าเราไม่ควบคุมอาหาร ช่วงก่อนปีใหม่ผมไปต่างจังหวัด ต่างประเทศบ่อย เลยมีอาหารเช้า(ที่ปกติไม่ทาน )เพิ่มทุกวัน และมีแอลกอฮอล์ต่างหากอีกด้วย (ถึงแม้ไม่มาก 1-3 หน่วย/ครั้ง) ปกติที่บ้านผมไม่ดื่มแอลกอฮอล์เลย แต่ลูกศิษย์คนโปรดผมชอบแซวว่า “แต่อาจารย์ไม่เคยอยู่บ้านเลย”!!...ฮืม...!?!
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี