เมื่อครั้งที่แล้วผมได้เขียนเรื่องนักการเมืองต้องเป็นคนดี ที่เก่ง และได้พูดรายละเอียดของความเก่งด้วยว่า ก่อนที่จะเก่งได้จะต้องมีโอกาสที่จะเข้าถึงโรงเรียน มหาวิทยาลัย ฯลฯ
ที่ดี มีคุณภาพ ต้องเรียนเป็น จับประเด็นเป็น สรุปเป็น ตลอดชีวิต และจะต้องเก่ง 7 อย่าง คือ เก่งคิด คน งาน เงิน เวลา “ขาย” และฟัง ที่พูดไปแล้วมีเก่งคิด คน ขอต่อด้วยว่าทางด้านเก่งคน จะต้องมีความสามารถที่จะโน้มน้าวให้คนมาช่วยทำงานให้เราด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่เพราะว่าเราเป็นนาย ผู้บังคับบัญชาเท่านั้น
เก่งคนแล้วจะต้องเก่งงานด้วย ก่อนที่จะเก่งงานได้ ต้องรู้ว่าเรามีหน้าที่อะไรบ้างในการทำงานเช่นนี้ ต้องหา ดู คำนิยามของงานของเราก่อน ทุกๆ คนอาจมีงานไม่เหมือนกัน ต้องรู้ว่า
หน้าที่ของเราคืออะไร ไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ปลัด อธิบดี อธิการบดี คณบดี หัวหน้าภาค ฯลฯ ถ้าไม่รู้ว่าเรามีหน้าที่อะไร ต้องไปสืบมาให้ได้ หรือคิดเอง อย่างเช่นในช่วง
ปี 2546 ผมได้รับเลือกเป็นกรรมการแพทยสภาเป็นครั้งแรก ขนาดเป็นใหม่เอี่ยม ยังถูกเลือกให้เป็นเลขาธิการแพทยสภา ทั้งๆ ที่เข้าไปเป็นกรรมการครั้งแรก ทั้งๆ ที่ไม่รู้เรื่อง ไม่มีความรู้
ทางด้านแพทยสภาเลย ผมจึงไปอ่าน พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525 โดยเฉพาะวัตถุประสงค์ของแพทยสภา ที่อยู่ในมาตรา 7 จึงทราบว่าหน้าที่ของแพทยสภามีอะไรบ้าง สรุปก็คือส่งเสริมแพทย์ให้เป็นคนดี ที่เก่ง และต้องกระตุ้น สนับสนุน แพทย์ให้เป็นคนดี ที่เก่ง ด้วยการส่งเสริมการประกอบวิชาชีพของแพทย์ และให้คำปรึกษาหรือข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลเกี่ยวกับปัญหาการแพทย์และการสาธารณสุขของประเทศอีกด้วย
สรุปคือ เราต้องรู้คำนิยามของงานของเราก่อน เราจะได้มีเป้าหมายในการทำงานของเรา เราต้องทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด นักการเมืองก็เหมือนกัน มีหน้าที่ดูแลสารทุกข์สุกดิบของประชาชน ต้องทำให้ประชาชนอยู่ดี กินดี มีความสงบ ความสุข ส่งเสริมให้ประชาชนเป็นประชาชนที่มีคุณภาพ มีความรักสามัคคีซึ่งกันและกัน ต้องทั้งดี (นักการเมืองต้องเป็นตัวอย่างที่ดี) และเก่ง (มีโรงเรียนที่มีคุณภาพกระจายอยู่ทั่วประเทศ และให้โอกาสประชาชน ทั้งจนและรวย เข้าถึงโรงเรียนที่ดีๆ เหล่านี้) ต้องมีคณะกรรมการของชาติ ทั้งจากภาครัฐและเอกชน คอยดูแลตลอดเวลาว่า ประเทศต้องการอาชีพ วิชาชีพ อะไร เท่าไหร่ ทั้งในระยะสั้น กลาง ยาว ประชาชนจะได้เรียนในสิ่งที่ชาติ สังคมต้องการ ไม่ใช่ว่าเรียนจบแล้วหางานไม่ได้ เพราะชาติไม่มีความต้องการ ต้องเรียนให้ตรงกับสาขาที่ตลาดต้องการ และต้องเรียนอย่างเหมาะสม เมื่อจบออกมาต้องทำงานได้เลย ซึ่งตรงนี้ต้องอาศัยรัฐบาลและภาคเอกชนคอยชี้แนะ
ทุกๆ คนต้องขยัน หาความรู้เกี่ยวกับงานของตัวเองเพิ่มเติมให้ตนเอง ต้องปรับให้ตัวเองทันสมัยตลอดเวลา สำหรับ Thailand 4.0 คนไทย 4.0 หรืออีกหน่อย 5.0
เก่งคิด เก่งคน เก่งงาน แล้ว จะต้องเก่งเวลาอีกด้วย เวลาเป็นสิ่งที่ทุกๆ คน ไม่ว่าจะรวย จะจน จะใหญ่โตแค่ไหน มีเท่ากัน เรา-นักการเมือง-ทุกๆ คน ต้องบริหารเวลาให้เป็น ให้เก่ง ต้องไม่เสียเวลา ต้องให้เวลากับทุกอย่างในชีวิต โดยเฉพาะสิ่งที่สำคัญ อย่างเหมาะสม แบ่งเวลาสำหรับการทำงาน การอ่านหนังสือเพื่อเพิ่มความรู้ในหน้าที่การงาน เพื่อเพิ่มความรู้รอบตัว ผู้บริหารประเทศคงใช้เวลามากในการอ่านเอกสารต่างๆ ก่อนเข้าประชุม ฉะนั้นที่สำคัญที่สุดคือ ต้องจับประเด็น สรุปอย่างถูกต้อง ในเวลาอันรวดเร็ว ทุกๆ คนต้องมีเวลาสำหรับออกกำลังกายบ้าง ร่างกายจะได้แข็งแรง สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณภาพ และอายุจะได้ยืนยาว สามารถรับใช้ประเทศชาตินานๆ ต้องมีเวลาสำหรับนอน (7 ชั่วโมงดีที่สุด) มีเวลาสำหรับครอบครัว เพื่อนฝูง สังคม ฯลฯ อย่าฆ่าเวลา อย่าให้เวลาผ่านไปอย่างเปล่าประโยชน์ เช่น หลายคนบอกว่าไม่มีเวลาสำหรับออกกำลังกาย แต่ดูทีวี.ได้เป็นชั่วโมง ผู้ที่บริหารเวลาเก่งจะรู้จักใช้เวลาช่วงที่ดูทีวี. ถีบจักรยานหรือเดินลู่วิ่งอยู่กับที่ไปด้วย หรือไม่มีเวลาอ่านหนังสืออ่านเล่น ก็ควรใช้เวลาหลังออกกำลังกายขณะที่รอให้เหงื่อแห้ง อ่านหนังสือพิมพ์ หนังสืออ่านเล่นที่ดีๆ ประเด็นก็คือต้องรู้ว่าอะไรสำคัญ ต้องแบ่งเวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ต้องมีเวลาทำงานที่ใครมายุ่ง รบกวนไม่ได้ ต้องรู้จักงานที่สำคัญและทำก่อน
ผู้บริหารประเทศจะต้องเก่งภาษาอังกฤษด้วยในสมัยนี้จึงควรหัดพูด หัดเขียน หัดอ่าน และหัดฟังไว้ให้ดี
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี