‘ปัญหาและอุปสรรคในการบังคับใช้กฎหมายการส่งเสริมการมีงานทำของคนพิการ
ตามมาตรา ๓๕ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ’
(ต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว)
เวทีรับฟังความคิดเห็นจากผู้เข้าร่วมสัมมนา แสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ
ผู้แทนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้แสดงความคิดเห็นต่อประเด็นปัญหาการส่งเสริมการมีงานทำของคนพิการ ตามมาตรา ๓๓ และมาตรา ๓๕ สรุปได้ ดังนี้
(๑)ปัญหาความปลอดภัยของคนพิการที่ทำงานในสถานประกอบการ ซึ่งสถานประกอบการมีความเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของคนพิการอย่างมาก หากคนพิการเข้าไปทำงานแล้วเกิดอุบัติเหตุจะส่งผลอย่างมากต่อโรงงาน ถึงแม้จะมีความพยายามในการป้องกันการเกิดอุบัติเหตุแล้วก็ตาม
(๒)ปัญหาขาดการประชาสัมพันธ์ของหน่วยงานภาครัฐ เกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ของสถานประกอบการที่จัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวก หรือจ้างคนพิการในสถานประกอบการตามมาตรา ๓๕ ซึ่งการประชาสัมพันธ์ยังไม่มีความเข้มแข็ง สถานประกอบการยังมีความรู้ในเรื่องนี้น้อยมาก
(๓) ปัญหาความสมดุลระหว่างภูมิลำเนาของคนพิการกับสถานประกอบการไม่สอดคล้องกัน แม้แต่การจ้างตามมาตรา ๓๓ ก็มีความลำบากมากในเรื่องนี้ สถานประกอบการจึงต้องไปจ้างงานตามมาตรา ๓๕ แทน และการปฏิบัติตามมาตรา ๓๕ เองก็ยังมีปัญหาในการตีความ
(๔) ปัญหาความพร้อมด้านสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานสาธารณะ เพื่อให้คนพิการสามารถเดินทางไปยังสถานประกอบการได้ แม้แต่ในพื้นที่ส่วนกลางหรือตัวเมืองก็ยังมีปัญหามาก ในส่วนภูมิภาคก็ยิ่งมีความยากลำบากเข้าไปอีกหลายเท่า
(๕) ปัญหาความพร้อมของคนพิการในการทำงาน ทั้งนี้ สถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาสามารถช่วยเหลือผู้ประกอบการด้วยการฝึกงานหรือให้ความรู้เกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมในการทำงานของคนพิการ ซึ่งเชื่อมั่นว่าสถานประกอบการจะสามารถจ้างงานคนพิการได้เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากคนพิการ มีความสามารถและความพร้อมที่แตกต่างกัน จึงควรผ่านการฝึกงานในมหาวิทยาลัยเพื่อให้ได้รับการพัฒนาทั้งชีวิต สังคม การเดินทางและด้านอื่นๆ ให้เหมาะสมก่อนทำงาน ซึ่งมีตัวอย่างการฝึกงานคนพิการ โดยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เป็นต้น
(๖) ปัญหาระบบตรวจสอบของกระทรวงแรงงานเกี่ยวกับสิทธิของคนพิการ กรณีคนพิการสมัครงานไว้หลายแห่งซึ่งถือเป็นสิทธิของคนพิการ แต่ด้วยปัญหาระบบการตรวจสอบที่มีความล่าช้า ไม่ทันสมัย จึงเป็นปัญหาสำคัญที่จะส่งผลเสียหายต่อสถานประกอบการในการถูกคิดค่าปรับกรณีจ้างงาน คนพิการไม่ครบตามที่กฎหมายกำหนด แม้สถานประกอบการจะมีความพยายามดำเนินการจ้างงานคนพิการให้ถูกต้องตามกฎหมาย
(๗) ปัญหาบทบัญญัติของกฎหมาย กรณีกำหนดยกเว้นให้ภาครัฐไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ในขณะที่ภาคเอกชนถูกบังคับใช้กฎหมาย จึงถือว่ากฎหมายไม่เป็นธรรม แม้จะมองว่าการนำส่งเงินเข้ากองทุนของภาครัฐจะเป็นเงินกระเป๋าซ้ายกระเป๋าขวาก็ตาม แต่หากกำหนดให้หน่วยงานรัฐนำส่งเงินเข้ากองทุนเช่นเดียวกับภาคเอกชนกรณีจ้างงานคนพิการไม่ครบตามกฎหมายกำหนด หน่วยงานรัฐต้องตั้งงบประมาณเพื่อนำมาส่งเข้ากองทุนและส่งผลต่องบประมาณของหน่วยงานตนเอง จึงถือเป็นมาตรการบังคับให้หน่วยงานรัฐจ้างงานคนพิการตามกฎหมายเช่นกัน
(๘)ปัญหาการเข้าถึงข้อมูลคนพิการของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กว่า ๘ ปีที่ผ่านมา จำนวนคนพิการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ ๑.๔ ล้าน จนถึงปัจจุบันกว่า ๒ ล้านคน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยมีความพยายามขอข้อมูลรายชื่อคนพิการไปยัง พก. เพื่อนำมาแจกจ่ายกับสมาชิกทั่วประเทศสำหรับเป็นข้อมูลเตรียมการจ้างงานคนพิการตามกฎหมาย แต่ก็ยังไม่เคยได้รับข้อมูลดังกล่าวจนล่าสุด ได้ข้อมูลรายชื่อคนพิการมาประมาณ ๒๗,๐๐๐ คนทั่วประเทศ จากจำนวนคนพิการทั้งหมดกว่า๑.๘ ล้านคน ทั้งนี้ ปัญหาการเข้าถึงข้อมูลคนพิการก็ถือเป็นปัญหาสำคัญหนึ่งในการดำเนินงานร่วมกันเกี่ยวกับการจ้างงานคนพิการ
ประธานเครือข่ายพิทักษ์สิทธิคนพิการ ได้แสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ ดังนี้
(๑)การฝึกงานคนพิการโดยใช้พื้นที่มหาวิทยาลัย อาทิ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ถือเป็นการใช้สิ่งอำนวยความสะดวก (Facility) ที่มีความพร้อมทั้งสถานที่ บุคลากรและอาจารย์ โดยมีแผนการสอนที่ตรงกับความต้องการของสถานประกอบการที่จะรับคนพิการเข้าทำงาน ทั้งนี้ คนพิการส่วนใหญ่จากจำนวนกว่า ๒ ล้านคนจบการศึกษาในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง หรือปวส. ถึงปริญญาเอก เพียง ๕ หมื่นคน จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องให้ความรู้กับคนพิการ ก่อนที่จะไปทำงานตามมาตรา ๓๓ และมาตรา ๓๕ กับสถานประกอบการ
(๒)ข้อเสนอแนะต่อการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคในการบังคับใช้กฎหมายการส่งเสริมการมีงานทำของคนพิการ ตามมาตรา ๓๕
๑) กฎหมายดีอยู่แล้วแต่มีปัญหาในการบังคับใช้กฎหมาย ไม่มีบทลงโทษ ทั้งกับคนพิการหรือผู้นำคนพิการ การบังคับใช้กฎหมายไม่สมบูรณ์ จึงทำให้เกิดปัญหาขึ้น
๒) ควรมีระบบตรวจสอบกระบวนการจ้างงานให้มีความเข้มข้นมากขึ้น
๓) ควรแก้ไขขั้นตอนทางกฎหมายตามระเบียบมาตรา ๓๕ ปี พ.ศ. ๒๕๕๘ อาทิ ควรยกเลิกการจะใช้สิทธิ์ตามมาตรา ๓๕ ควบคู่กับการแสดงสิทธิของคนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการ ซึ่งควรเปลี่ยนขั้นตอนให้ผู้ประกอบการเสนอโครงการเพื่อขออนุมัติเลย แล้วจึงตรวจสอบสิทธิคนพิการในภายหลัง หากผู้ประกอบการเสนอโครงการตามมาตรา ๓๕ แล้วไม่ดำเนินการก็จะต้องส่งเงินเข้ากองทุนต่อไป ทั้งนี้ เพื่อเป็นการลดขั้นตอนการทำงาน ซึ่งขั้นตอนปัจจุบันที่กำหนดให้ต้องแสดงสิทธิคนพิการคู่กับการเสนอโครงการของสถานประกอบการ ส่งผลให้เกิดขั้นตอนที่ยุ่งยากเกิดปัญหาการใช้สิทธิ์ซ้ำซ้อน เกิดผลกระทบมากมายในการตรวจสอบ หากเปลี่ยนขั้นตอนตามข้อเสนอ กรมการจัดหางานก็จะมีหน้าที่ในการอนุมัติโครงการ และพก. ซึ่งมีเงินในกองทุนกว่า ๑.๒ ล้านบาท เพื่อทำหน้าที่ในการตรวจสอบได้อย่างชัดเจน
๔) การจ้างคนพิการของสถานประกอบควรจ้างด้วยความสามารถของคนพิการ ไม่ใช่เป็นการจ้างงานด้วยความสงสาร
ประธานฝ่ายส่งเสริมอาชีพและการจ้างงานสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทย ได้แสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ ดังนี้
(๑) การดูแลประชาชนรวมถึงคนพิการถือเป็นหน้าที่ของรัฐซึ่งกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ กฎหมายส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการกำหนดให้ภาครัฐมีสัดส่วนการจ้างงานคนพิการเท่ากับภาคเอกชน จึงเห็นควรเสนอเพิ่มสัดส่วนการจ้างงานคนพิการของภาครัฐให้มากกว่าภาคเอกชนแบบไม่กำหนดเพดาน เนื่องจากคนพิการต้องการมีงานทำหรือประกอบอาชีพอิสระตามมาตรา ๓๕อีกจำนวนมาก รัฐบาลนี้มีสัมปทานในกิจการต่างๆ ที่สามารถให้กับคนพิการทำได้ เช่น โควตาจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาล เครื่องแบบนักเรียน ทหาร ตำรวจ ที่สามารถจ้างคนพิการสัมปทานแล้วตัดเย็บมาส่ง รวมถึง ผ้าห่ม และเครื่องกันหนาวที่ใช้ในภารกิจของหน่วยงานภาครัฐ เป็นต้น
(๒) ปัญหาการจ้างงานคนพิการของสถานประกอบการตามมาตรา ๓๕ ในอัตราที่ไม่เป็นไปตามสัญญา หรือจ้างงานต่ำกว่าค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งต่ำกว่าวงเงิน ๑๐๙,๕๐๐ บาท เพื่อจะได้ไม่ต้องจ่ายเงินเข้ากองทุนตามมาตรา ๓๔ ทั้งนี้ อาจจะเป็นการเลี่ยงภาษีและเป็นการเอาเปรียบคนพิการหรือไม่
(๓)กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรเข้ามามีส่วนร่วมการส่งเสริมสนับสนุนด้านเกษตรกรรมกับคนพิการในต่างจังหวัด โดยน้อมนำพระราชดำริเรื่องปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นตัวตั้งซึ่งจะได้ผลอย่างมากต่อการทำงานด้านการเกษตรของคนพิการ ซึ่งคนพิการในวัยทำงานมีจำนวนกว่า ๘ แสนคน ทำงานในภาครัฐ ๑๒,๕๐๐ คน และภาคเอกชนกว่า ๗ หมื่นคน จึงมีคนพิการจำนวนกว่า ๗ แสนคน ที่ยังต้องได้รับการดูแลเรื่องการจ้างงาน
ผู้แทนกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ได้แสดงความคิดเห็นว่า กฎหมายคุ้มครองแรงงานเป็นเรื่องของการกำหนดสิทธิ หรือมาตรฐานขั้นต่ำที่นายจ้างกับลูกจ้างต้องพึงปฏิบัติต่อกัน ซึ่งรวมถึงเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำด้วย ลูกจ้างคนพิการที่เข้าทำงานก็ต้องได้สิทธิประโยชน์เช่นเดียวกับคนปกติทั่วไปทุกอย่าง หากคนพิการได้เงินเดือนต่ำกว่าค่าจ้างขั้นต่ำก็ต้องมีการตรวจสอบลงไปในรายละเอียด ว่าทำงานกี่วัน ได้รับค่าจ้างเป็นรายวันหรือรายเดือน ซึ่งต้องมีวันหยุด วันพักผ่อนและสิทธิตามที่ลูกจ้างทั่วไปเช่นกัน และหากไม่เป็นไปตามสัญญาจ้างงานก็ต้องถือว่าผิด ที่ต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป
อ่านต่อฉบับหน้า
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี