ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุตั้งแต่ปี 2548 ปัจจุบันนี้แทบทุกวันจะมีข่าวเกี่ยวกับสังคมสูงอายุหรือผู้สูงอายุ แต่ประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยรู้เรื่องถึงความหมายหรือปัญหาที่ตามมา ถ้าดูจากความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ที่แพทย์ประจำบ้านปีที่ 2 ของภาควิชาอายุรศาสตร์ที่ผมสอนทุกเช้า แพทย์เหล่านี้เป็นแพทย์ที่จบมาแล้ว 4 ปี และในปีที่ 5 หลังจบการศึกษา หรือช่วงที่เป็นแพทย์ประจำบ้านปีที่ 2 จะต้องมาหมุนเวียนผ่านหน่วยระบบทางเดินอาหาร 4 สัปดาห์ แพทย์กลุ่มนี้จบมาแล้ว 4 ปีคือ 3 ปีแรก ไปใช้ทุนต่างจังหวัด แล้วจึงมาเรียนต่อเพื่อเป็นผู้เชี่ยวชาญทางสาขาอายุรศาสตร์ ซึ่งต้องเรียน 3 ปี การสอนของผมไม่ได้สอนหัวข้อทางสาขาระบบทางเดินอาหารเท่านั้น แต่สอนรวมไปถึงเรื่องที่ผมคิดว่ามีความสำคัญต่อโลก ประเทศ ต่อตัวคุณหมอเองด้วย รวมทั้งการเรียนรู้ของสิ่งที่สำคัญต่างๆ ในชีวิตอีกด้วย คุณหมอเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่ค่อยทราบข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับสังคมสูงอายุ หรือแม้แต่คำนิยามของสังคมสูงอายุ
สังคมสูงอายุของแต่ละประเทศ คือ การที่สังคมหรือประเทศนั้นๆ มีประชากรมากกว่า 10% (aged) ของประชากรทั้งหมดมีอายุเกิน 60 ปี หรือถ้าประเทศไหนนับจากอายุ 65 ปี ก็จะเป็น 7%
สังคมสูงอายุแบบสมบูรณ์คือ มีประชาชนอายุมากกว่า 60 ปี และ 65 ปี (complete aged) 20% และ 14% ตามลำดับ ส่วนสังคมผู้สูงอายุแบบสุดยอด (super aged) คือ มีประชาชนที่มีอายุมากกว่า 60 และ 65 ปี มากกว่า 30% และ 20% ตามลำดับ
ประเทศไทย จากสำนักงานสถิติแห่งชาติในปี 2560 มีผู้สูงอายุ 16.7% ของประชากรทั้งหมด ประเทศญี่ปุ่นมี 33% แต่ในปี 2564 และ 2574 ประเทศไทยจะมีประชากรผู้สูงอายุ 20% และ 30% ตามลำดับ!
ถือว่าประเทศไทยมีประชากรสูงอายุเพิ่มขึ้นเร็วมาก กล่าวคือ จาก 10 เป็น 20% ใช้เวลาเพียง 16 ปีเท่านั้น!! (2548-2564) แต่ประเทศที่เจริญแล้ว ที่พร้อมกว่าประเทศไทยมากในหลายๆ ด้าน เช่น อังกฤษ อเมริกา ฯลฯ กลับใช้เวลาเป็น 100 ปี ฉะนั้นเนื่องจากประเทศไทยมีเวลาน้อยกว่าในการปรับตัว และมีศักยภาพน้อยกว่าประเทศตะวันตก ทุกๆ คน ทุกภาคส่วน รัฐบาล เอกชน ตนเองครอบครัว ชุมชน อบจ. อบต. NGO ฯลฯ ต่างๆ ต้องรีบระดมสรรพกำลังเพื่อพัฒนาให้ประเทศไทยเราพร้อมอย่างเร็วที่สุดที่จะทำได้ ในการรับมือของผลที่จะตามมาของการเป็นสังคมสูงอายุ
ข้อมูลของการเป็นสังคมสูงอายุมีอะไรบ้าง
เนื่องจากการวางแผนครอบครัว ซึ่งเริ่มตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. 2513 มีผลดีมาก ทำให้ประเทศไทยมีอัตราการเกิดปัจจุบันนี้ประมาณ 1.4 คนเท่านั้นต่อครอบครัว ปัจจุบันนี้มีคนจำนวนมากขึ้นที่ไม่แต่งงาน ผู้หญิงต้องเรียนมากขึ้น นานมาก ก่อนที่จะแต่งงาน ทำให้มีลูกยาก หรือมีคนเดียว รวมทั้งคู่สมรสต่างๆ ต้องการมีบุตรคนเดียว เนื่องจากมีหลายๆ สาเหตุ รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูลูก บิดา มารดา ต้องทำงาน หลายๆ คู่ ไม่ต้องการที่จะมีบุตร ฯลฯ จึงทำให้วัยเด็ก 0-14 ปี วัยทำงาน 15-59 ปี มีน้อยลง ผลก็คือมีนักเรียนเข้าโรงเรียนทุกระดับ รวมทั้งมหาวิทยาลัย น้อยลงกว่าเก่า ทำให้โรงเรียน มหาวิทยาลัย มีเด็กสมัครเข้าเรียนน้อย รวมทั้งสังคม การศึกษาที่เปลี่ยนไป และสถาบันการศึกษาไม่ได้ปรับสภาพเท่าที่ควร จึงมีนักเรียน นิสิตที่จะเข้าเรียนโรงเรียนและมหาวิทยาลัยน้อยลงยิ่งขึ้น ทำให้มีการปิดโรงเรียน ปิดบางหลักสูตรหรือคณะของมหาวิทยาลัย ซึ่งถ้าจะอยู่รอดได้ ต้องเลือกหลักสูตรที่เหมาะสมสำหรับตลาดไทยหรือต่างประเทศ รวมทั้งต้องปรับการเรียนการสอนให้ทันสมัยขึ้น เช่น มีการเรียน online มีการสอนสาขาที่ตลาดต้องการ และเมื่อจบต้องสามารถทำงานที่ตลาดต้องการได้เลย
การที่วัยแรงงานลดลง แต่วัยสูงอายุเพิ่มขึ้น ทำให้มีผู้ทำงาน(คือผู้ที่มีรายได้)ปัจจุบันนี้ 3.9 คน (2560) ต่อผู้สูงอายุ 1 คน อีกหน่อยถ้าไม่มีการแก้ปัญหา อาจมีผู้ทำงานเพียง 1 คนต่อผู้สูงอายุ
1 คน ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้ จะเป็นภาระต่อผู้ทำงานและต่อผู้สูงอายุ ฉะนั้นทุกภาคส่วนโดยเฉพาะรัฐบาลจะต้องช่วยคิด ช่วยกันทำ ช่วยกันแก้ไขเรื่องนี้ เช่น ตั้งแต่การกระตุ้น สนับสนุน ให้ประชาชนแต่งงานกันมากขึ้นเมื่อพร้อม ที่พูดเช่นนี้เพราะประเทศไทยมีการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่มีการป้องกันการตั้งครรภ์มากพอสมควร ต้องกระตุ้น สนับสนุน ให้คู่สมรสมีบุตร 2-3 คน โดยมีการกระตุ้นทางด้านสวัสดิการ ภาษี ฯลฯ แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ควรเว้นจากการมีลูกคนต่อไป อย่างน้อย 2 ปีจากคนก่อน เพื่อให้มารดามีสภาพร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ก่อน
ปัญหาอื่นที่พบในสังคมสูงอายุของไทย คือ ผู้สูงอายุไทย(2560) มีการศึกษาน้อย ไม่ค่อยมีการออม และมีสุขภาพที่ไม่ดี ถึงแม้จะมีอายุยืนขึ้นกว่าเดิม
และสิ่งที่สำคัญมากอันหนึ่งในความเห็นของผม ซึ่งผมได้พูดได้เขียน มาตลอด คือ อยากให้ประเทศไทยมีคณะกรรมการแห่งชาติดูเรื่องความต้องการ ความขาดแคลนของอาชีพ วิชาชีพต่างๆ ซึ่งถ้าดูเฉพาะแพทย์ พยาบาล อาชีวะ เรายังขาดแพทย์อยู่ และควรดูไปถึงอนุสาขาต่างๆ อีกด้วย เรายังขาดพยาบาลอีกหลายหมื่นคนหรือเป็นแสน และยังขาดอาชีวะอีกเป็นแสน คณะกรรมการชุดนี้จะต้องดูความต้องการของประเทศในระยะเวลาสั้น กลาง ยาว และปรับการผลิตให้เหมาะสมกับความต้องการของประเทศเสมอ ประเทศจะได้ไม่ขาดแรงงานในสาขาต่างๆ และเมื่อผลิตออกมาสามารถทำงานได้เลย
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี