(ต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว)
ผู้แทนสภาศูนย์การดำรงอิสระของคนพิการแห่งประเทศไทย ได้แสดงความคิดเห็นว่า การส่งเสริมเรื่องการทำงานของคนพิการ ต้องควบคู่กับเรื่องงานที่มีคุณค่าและสมศักดิ์ศรี (Decent Work) ซึ่งเป็นงานที่ตอบสนองความต้องการพื้นฐานของชีวิต ได้รับเงินเดือนที่สมเหตุสมผล สมกับความรู้ สมกับวิชาชีพ และเงินเดือนที่ได้รับต้องตอบแทนความมั่นคงของคนพิการและความมั่นคงของครอบครัว และในมุมของบริษัทที่จ้างคนพิการไปทำงาน ก็ต้องจ้างคนพิการเพราะความสามารถของหรือทักษะเมื่อคนพิการเข้าไปทำงานก็ต้องได้รับการยอมรับด้วยการพิสูจน์และพัฒนาตัวเอง ซึ่งเป็นแนวคิดที่ถูกรับรองโดยองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization : ILO) ที่ประเทศไทยรับแนวคิดนี้มาปรับใช้ด้วย ดังนั้น การจ้างงานคนพิการทั้ง มาตรา ๓๓ และ ๓๕ คนพิการต้องได้ทำงานแบบสมศักดิ์ศรี ได้รับการยอมรับ ไม่ใช่การสงเคราะห์ ไม่ใช่ทำเรื่องจ้างงานเพื่อให้คนพิการได้งานทำอย่างเดียว แต่ต้องทำเรื่องจ้างงานเพื่อให้คนพิการได้เป็นส่วนหนึ่งของตลาดแรงงานในประเทศ
ผู้แทนมูลนิธินวัตกรรมทางสังคม ได้แสดงความคิดเห็น ดังนี้
(๑) มูลนิธินวัตกรรมทางสังคม เริ่มเคลื่อนงานนี้เมื่อ ๔ ปีที่ผ่านมา โดยรับภารกิจจาก สสส. ขับเคลื่อนงานสร้างนวัตกรรมการจ้างงานคนพิการ เพื่อนำไปสู่คุณภาพชีวิต ความเป็นอยู่ และสุขภาพคนพิการที่ดีขึ้นมีคนพิการจำนวนกว่า ๕ พันคน ที่ได้รับประโยชน์จากการเชื่อมโยงและขับเคลื่อนงานร่วมกับเครือข่ายทั่วประเทศ ด้วยการชักชวนสถานประกอบการที่ในอดีตเคยนำส่งเงินเข้ากองทุนตามมาตรา ๓๔ มาจ้างงานตามมาตรา ๓๕ เพื่อให้คนพิการได้ทำงานใน ๒ รูปแบบ คือ (๑) การจ้างเหมาทำงานสาธารณประโยชน์หรือเชิงสังคม และ (๒) การช่วยเหลือทุนประกอบอาชีพ ด้วยการจ่ายเงินปีละ ๑๐๙,๕๐๐ บาท ครบถ้วนตามกฎหมายกำหนดที่ผ่านมาทางกรมการจัดหางานมีความเข้มงวดในการตรวจสอบข้อมูลที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม ปัญหากรณีเรื่องร้องเรียนการดำเนินงานตามมาตรา ๓๕ ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ก็น่าจะมีส่วนหนึ่งที่เกิดขึ้นจริง ที่ต้องติดตามตรวจสอบอย่างจริงจัง แต่ส่วนที่ทำดี ทำถูกต้องก็มีอยู่จำนวนมากมายเช่นกันที่ควรได้รับการสนับสนุน
(๒) กฎหมายการจ้างงานคนพิการ เป้าหมายหลัก คือ ต้องการให้เกิดการจ้างงาน คนพิการตามมาตรา ๓๓ ในสัดส่วน ๑ ต่อ ๑๐๐ แต่ปัจจุบันยังไม่ครบจำนวนตามที่กฎหมายกำหนด ทั้งนี้ เห็นว่าปัจจุบันสถานประกอบการจ้างงานคนพิการตามมาตรา ๓๓ ถึงจุดอิ่มตัวมาแล้ว เนื่องจากตั้งแต่ ช่วงเริ่มต้นกฎหมายนี้กำหนดให้ผู้ประกอบการต้องนำส่งเงินเข้ากองทุน ส่งผลให้ตัวเลขการจ้างงานคนพิการตามมาตรา ๓๓ เพิ่มจำนวนมากขึ้น แต่ใน ๒ ปีหลังที่ผ่านมา อัตราการจ้างงานตามมาตรา ๓๓ ไม่เพิ่มจำนวนขึ้นเลย ซึ่งน่าจะหมายความว่าคนพิการที่สมัครงานมีบริษัทรับเข้าทำงานหมดแล้ว และส่วนใหญ่เป็นคนพิการที่มีการศึกษา มีทักษะ หรือเป็นคนพิการที่ไม่พิการมากนักจึงเป็นจุดอิ่มตัวของมาตรา ๓๓ หากไม่มีกลไกใดเข้ามาเสริม เนื่องจากยังมีปัญหาและข้อจำกัดด้านทักษะการศึกษาและการเดินทางของคนพิการด้วย ดังนั้น กองทุนจึงต้องสร้างกลไกในเชิงเศรษฐศาสตร์เพื่อให้สถานประกอบการที่จ่ายเงินเข้ากองทุนกลับมาจ้างงานคนพิการแทน
(๓) ภาคผู้ประกอบการส่วนใหญ่เห็นว่า เงินที่ผู้ประกอบการนำส่งเข้ากองทุนมีจำนวนมาก ในขณะที่ผู้ประกอบการที่ต้องการจ้างงานคนพิการก็ไม่สามารถหาคนพิการที่มีคุณสมบัติตามที่ต้องการได้ ดังนั้น เงินส่วนใหญ่ของกองทุนจึงควรถูกนำไปขับเคลื่อน เพื่อสนับสนุนให้เกิดการจ้างงานคนพิการตามมาตรา ๓๓ ในทุกวิถีทาง อาทิ การเสริมศักยภาพคนพิการ และด้านอื่นๆ ซึ่งควรกำหนดให้เรื่องนี้เป็นเป้าหมายสำคัญหนึ่งของยุทธศาสตร์กองทุนด้วย
(๔) มาตรา ๓๕ ถือเป็นทางเลือกที่ดีในระหว่างที่ยังไม่สามารถจ้างงานตามมาตร ๓๓ ได้ทำให้คนพิการมีโอกาสได้รับการจ้างงาน ซึ่งในอดีตมาตรา ๓๕ จะดำเนินการเน้นใน ๒ เรื่อง คือ การให้พื้นที่คนพิการขายของและการฝึกอบรม แต่ในช่วงหลัง เริ่มมีการจ้างเหมาบริการ การจ้างงานเชิงสังคม จ้างงานสาธารณประโยชน์ หรือช่วยเหลืออื่นใดเพิ่มมากขึ้น ถือเป็นนวัตกรรมที่เชื่อมโยงให้งานและอาชีพใกล้ตัวคนพิการมากขึ้น ทำให้คนพิการเข้าถึงโอกาสการมีอาชีพมากขึ้น และควรเสริมพลังให้เครือข่ายในพื้นที่ อาทิ เครือข่ายสาธารณสุข เครือข่ายการศึกษา และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เพื่อมาร่วมเป็นเครือข่ายทำงานด้านนี้ซึ่งจะเกิดประโยชน์ต่อการทำงานอย่างมาก
(๕) ข้อเสนอแนะกลไกการจ้างงานแทน ซึ่งในบางประเทศมีการใช้กลไกนี้ โดยต้องยอมรับว่าบางหน่วยงานอาจจะจ้างคนพิการที่มีความสามารถ แต่ในบางหน่วยงานไม่อยู่ในสายงานที่จะจ้างคนพิการได้ หากเกิดกลไกการจ้างงานคนพิการแทนกันได้ ในอัตราส่วนที่เหมาะสม ลักษณะคล้ายเหมือนกลไกของคาร์บอนเครดิต จะเปิด โอกาสให้คนพิการได้เข้าสู่การทำงานได้มากขึ้นและเป็นไปแบบธรรมชาติ
(๖) มูลนิธินวัตกรรมทางสังคมมุ่งขับเคลื่อนการจ้างงานตามมาตรา ๓๕ ให้เป็นการจ้างงานตามมาตรา ๓๓ ด้วยการติดต่อกับศูนย์นักศึกษาพิการของแต่ละมหาวิทยาลัย เพื่อรวมฐานข้อมูลของนักศึกษาพิการที่มีความพร้อมและต้องการทำงานได้เข้าถึงสถานประกอบการเนื่องจากสถานประกอบการหลายแห่งยังนึกภาพไม่ออกว่าคนพิการทำงานได้อย่างไร จึงได้การเชื่อมโยงนักศึกษาพิการกับสถานประกอบการให้มีโอกาสได้พูดคุยถึงความต้องการจ้างงานของแต่ละสถานประกอบการ เพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษาพิการที่มีความพร้อมในการงานทำได้เข้าสู่การจ้างงานตามมาตรา ๓๓ อย่างไรก็ตาม กองทุนควรมีส่วน สำคัญในการสนับสนุนด้านการพัฒนานักศึกษาพิการ ทั้งทักษะภาษาและทักษะคอมพิวเตอร์ซึ่งสถานประกอบการมีความต้องการบุคลากรที่มีทักษะด้านนี้จำนวนมาก
(อ่านต่อสัปดาห์หน้า)
สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ถนนอู่ทองใน ดุสิต กทม. 10300 email : dek_senate@hotmail.co.th หรือ Facebook: กมธ.พัฒนาสังคม หรือ กลุ่มงานคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและกิจการเด็กฯ วุฒิสภา โทร.02-831-9225-6 แฟกซ์ 02-831-9226
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี