พอถึงช่วงหน้าร้อนทีไร เรื่องที่คนส่วนใหญ่วิตกกันมาก ก็คือเรื่อง “โรคพิษสุนัขบ้า” ดังนั้นวันนี้ผมขออนุญาตนำเรื่องโรคพิษสุนัขบ้ามาคุยกันอีกครั้งหนึ่งครับ
โรคพิษสุนัขบ้า หรือ โรคกลัวน้ำ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Rabies เป็นโรคติดต่อที่ร้ายแรง เกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งมักเกิดจากการถูกกัด ข่วน หรือเลียบาดแผล โดยสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ไม่ว่าจะเป็นสุนัข แมว หนู โค กระบือ แพะ แกะ ม้า สุกร ค้างคาว กระต่าย จิงโจ้บิน เป็นต้น ในปัจจุบันนี้ยังไม่มีทางรักษาให้หาย ดังนั้นเป็นโรคที่ “มีอันตรายถึงชีวิต” แต่เราสามารถ “ป้องกันได้” ครับ
สาเหตุของโรค
เกิดจากเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า “Rabies virus” โดยที่เชื้อไวรัสจะอยู่ในน้ำลายของสัตว์ที่ติดเชื้อ ซึ่งช่องทางการติดต่อสู่คนที่พบบ่อยคือ การถูกกัด และการได้รับเชื้อเข้าทางบาดแผล
การติดต่อของโรค
เชื้อไวรัสจะปนออกมากับ “น้ำลาย” ของสัตว์ที่ติดเชื้อ และเข้าสู่ร่างกายของคนทาง “บาดแผล” ที่สัตว์กัด ข่วน หรือเลีย นอกจากนี้ยังเข้าทางเยื่อเมือก เช่น ในช่องปาก จมูก หรือตา
อีกด้วย จากนั้นเชื้อจะเดินทางผ่านทางเส้นประสาทไปยังสมอง ซึ่งระยะเวลาจะมีความแตกต่างกัน
อาการของโรค
หากปล่อยไว้จนอาการของโรคปรากฏแล้ว จะทำให้เสียชีวิตได้ครับ ระยะเวลาการเกิดโรคนั้น ขึ้นอยู่กับ “ปริมาณเชื้อที่เข้าแผล”“ขนาดและความลึกของแผล” รวมถึง “ตำแหน่งที่เชื้อเข้า” ถ้าใกล้สมองมาก เชื้อจะไปถึงสมองได้เร็วครับ
อาการหลักๆ ของโรคพิษสุนัขบ้า
สำหรับอาการในสุนัข จะแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่
1.ระยะเริ่มแรก จะมีอารมณ์และอุปนิสัยเปลี่ยนไปจากเดิม
2.ระยะตื่นเต้น เริ่มมีอาการทางประสาท กระวนกระวาย หงุดหงิด ไม่อยู่นิ่ง แสดงอาการแปลกๆ เช่น งับลม กัดแทะทุกอย่างที่ขวางหน้า เริ่มเกิดอัมพาตของกล้ามเนื้อกล่องเสียง ลิ้นห้อย น้ำลายไหล ขาหลังเริ่มอ่อนเปลี้ย และเริ่มเข้าสู่ระยะเป็นอัมพาต
3.ระยะอัมพาต เป็นระยะสุดท้าย จะเกิดอัมพาตทั่วตัวอย่างรวดเร็ว และเสียชีวิตในที่สุดเนื่องจากอัมพาตของระบบหายใจ ทำให้ไม่สามารถหายใจได้
**สุนัขที่แสดงอาการแล้ว ส่วนใหญ่แล้ว มักมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน10 วัน **
ประเภทของโรคพิษสุนัขบ้า
การแสดงออกโรคที่พบมักมี 2 ประเภท คือ ชนิดดุร้าย และชนิดเซื่องซึม
1.ชนิดดุร้าย จะแสดงอาการดุร้าย เดินไป-มา กระวนกระวายกัดโซ่ หรือกรงขังจนเลือดออกโดยไม่แสดงอาการเจ็บปวดบางรายจะวิ่งโดยไร้จุดหมาย กัดคนและสัตว์ทุกชนิดที่ขวางหน้าน้ำลายไหลย้อย คางห้อย หางตก จากนั้นก็จะเริ่มมีอาการอัมพาต ขาเริ่มไม่มีแรง วิ่งลำบาก เมื่อเกิดอัมพาตมากขึ้น ขาทั้งสี่ก็จะหมดแรง แล้วล้มลงหมดสติ และตายภายใน 3-7 วัน หลังจากที่แสดงอาการ
2.ชนิดเซื่องซึม จะสังเกตได้ยาก เนื่องจากอาการป่วยที่แสดงจะคล้ายโรคอื่นๆ เช่น ไข้หวัด ไข้หัดสุนัขในระยะแรก สัตว์จะหลบไปอยู่ที่เงียบๆ อาจกัดคนหรือสัตว์อื่นเมื่อถูกรบกวน จากนั้นจะเกิดอัมพาต และตายในที่สุด ส่วนมากจะพบประเภทดุร้าย มากกว่าแบบเซื่องซึม
การระบาดของโรค
โรคพิษสุนัขบ้าเกิดได้ “ทุกฤดูกาล” ไม่ได้เกิดเฉพาะในช่วงฤดูร้อนนะครับ แต่ในอดีตช่วงฤดูผสมพันธุ์ของสุนัข ช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมีนาคม สุนัขก็มักจะมีการกัดกันเพื่อแย่งชิงสุนัขตัวเมีย เหตุนี้เองสุนัขตัวใดที่มีเชื้อโรคอยู่ก็จะแพร่เชื้อติดไปยังสุนัขตัวอื่นได้ง่าย อีกทั้งฤดูร้อนเป็นช่วงปิดภาคเรียน โอกาสที่เด็กถูกกัดจึงมีมากยิ่งขึ้นด้วย
สัปดาห์หน้า เรามาคุยกันเกี่ยวกับเรื่องข้อควรปฏิบัติเมื่อถูกสุนัขหรือแมวกัดกันครับ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร.ทิลดิสร์ รุ่งเรืองกิจไกร
ฝ่ายประชาสัมพันธ์และส่งเสริมภาพลักษณ์องค์กร
คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี