เรื่องการออมการลงทุนของผู้สูงอายุ ยังพบว่าผู้สูงอายุในปีที่สำรวจ พ.ศ. 2560 มีการออมที่น้อยมาก กล่าวคือ 18% ของผู้สูงอายุที่ออม ออมน้อยกว่า 50,000 บาท 31% 100,000-399,999 บาท, 36% น้อยกว่า 4 แสนบาท, 14.2% ระหว่าง 4 แสน-699,999 บาท, 10.4% 1 ล้าน-2,999,999 บาท
นอกจากนั้นรายได้ของผู้สูงอายุในปี พ.ศ.2560 คือ 10.9% ต่ำกว่า 10,000 บาท/ปี, 28.2% ระหว่าง 10,000-29,999 บาท/ปี, 21.4% ระหว่าง 30,000-49,999 บาท/ปี, 15.2% ระหว่าง 50,000-69,999 บาท/ปี และมีเพียง 3.9% เท่านั้น ที่มีรายได้มากกว่า 300,000 บาท/ปี
และมีผู้สูงอายุถึง 43.4% ที่ต้องทำงานเพราะต้องการรายได้เพิ่ม
พบว่ารายได้ของผู้สูงอายุมาจากบุตรมากที่สุด คือ 34.7% แต่รายได้จากบุตรได้ลดลงเรื่อยๆ อีกหน่อยอาจจะไม่มีรายได้จากบุตรเลย เพราะไม่มีบุตร ตามด้วยการทำงานของผู้สูงอายุเอง 31%
ฉะนั้นทางด้านการศึกษา เราต้องให้โอกาสเด็กๆ ทุกๆ คน (ที่อีกหน่อยจะเป็นผู้สูงอายุ) เข้าถึงการศึกษาที่ดี ที่มีคุณภาพ ทั้งคุณครูทั้งหลายและระบบการศึกษาต้องมีคุณภาพ ต้องสนับสนุนให้เด็กๆ ทางด้านการเงิน การเดินทาง เพื่อให้เด็กๆ ทุกๆ คนมีโอกาสเข้าโรงเรียน มหาวิทยาลัยดีๆ รัฐและเอกชน ต้องช่วยกันพัฒนาระบบการเรียนการสอนให้ทันสมัย เหมาะสมกับกาลเวลา ตลอดเวลา จะต้องส่งเสริมการเรียนที่เอาไปใช้ได้จริงๆ การเรียน online การเรียนที่มีการร่วมของนักเรียน นักศึกษา โดยเอาผู้เรียนเป็นที่ตั้ง และนอกจากมีโอกาสเข้าเรียนในโรงเรียน มหาวิทยาลัยที่ดี มีคุณภาพแล้ว ต้องสอนให้เด็กๆ เรียนเป็นอีกด้วย บิดา มารดา ครอบครัว ชุมชน สังคม โรงเรียน มหาวิทยาลัยต้องสอน แนะนำ ให้เด็กๆ เป็นคนดี ที่เก่ง ที่รอบรู้ และมีสุขภาพที่ดี นอกจากมีโอกาสเข้าเรียนแล้วเด็กๆ ยังต้องมีนิสัยที่รักการเรียนรู้ตลอดชีวิต ต้องรู้จักวิธีเรียน ต้องรู้จักจับประเด็นเป็น สรุปเป็น ย่อความเก่ง ต้องรู้ว่าหัวใจของเรื่องต่างๆ คืออะไร ฯลฯ
ถ้าเด็กๆ เรียนดี เรียนสาขาต่างๆ ที่รัฐบาลแนะนำว่าประเทศชาติขาด เด็ก หรือนิสิต เมื่อจบก็จะหางานได้ เป็นงานที่ดี ที่ตลาด สังคม ประเทศต้องการ เงินเดือนก็จะดีตามไปด้วย
เมื่อมีรายได้แล้ว จะต้องสอนให้บัณฑิตมีความรู้ทางด้านการเงิน ต้องสอนให้หาเงินเก่ง (ไม่มีปัญหาแล้ว เพราะเราทำให้เด็กมีโอกาสเข้าเรียนในโรงเรียน มหาวิทยาลัยที่ดีและเรียนสาขาที่ประเทศต้องการ) จะต้องสอนให้เด็กรู้จักออม เพื่อเก็บเอาไว้ใช้ตอนเกษียณอายุจากการทำงาน แต่การออมเท่านั้นไม่พอ เพราะถึงแม้ออมได้ 10 ล้านบาท หลังเกษียณ แต่ค่าของเงินจะลดไปจากเงินเฟ้อ เช่น ค่าของเงิน 20,000 บาท ในขณะนี้ อีก 30 ปีข้างหน้าถ้ามีอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 3% ต่อปี จะเท่ากับยอดเงิน 48,000 บาทในขณะนั้น ฉะนั้นถ้าอีก 30 ปี อยากมีเงินใช้เดือนละ 20,000 บาท ท่านจะต้องมีเงินถึง 48,000 บาท/เดือน และถ้าคิดว่าท่านจะอยู่หลังเกษียณ (ถ้านับจาก 60 ปี) ไปอีก 30 ปี ยอดเงินที่ท่านจะต้องมีตอนเกษียณ คือ 48,000 x 12 x 30 ปี หรือท่านจะต้องมีเงิน 17,280,000 บาท!! หลังเกษียณ เพื่อที่จะมีเงินใช้เดือนละ 48,000 บาท (หรือ 20,000 บาทในปัจจุบันนี้) ต่อเดือนไปอีก 30 ปี ฟังดูแล้วเป็นไปได้อย่างไรที่จะมีเงินตั้ง 17 ล้านบาท ตอนเกษียณ เป็นไปได้ครับถ้าท่านเริ่มตั้งแต่เงินเดือน เดือนแรกซึ่งก็คงมีอายุประมาณอายุ 22-24 ปี
ฉะนั้นท่านจะออมเฉยๆ ไม่ได้ เพราะค่าของเงินจะลดลงทุกปีจากภาวะเงินเฟ้อ ฉะนั้นท่านจะต้องเอาเงินที่ออมได้ของท่านไปลงทุน (invest) เพื่อที่จะทำให้เงินของท่านงอกมากที่สุด อย่างปลอดภัยที่สุด
ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการเงินแนะนำว่า พอท่านได้เงินเดือนมาก้อนหนึ่ง อย่างน้อยหักไว้เป็นเงินออมทันทีเลย 10% ก่อนที่จะใช้ แต่ถ้าท่านออมได้มากกว่านี้ยิ่งควรที่จะออมมากๆ เช่น แพทย์ ลูกศิษย์ผม อายุประมาณ 28 ปี จบแพทย์มา 4 ปีแล้ว ได้เงินเดือน ค่าอยู่เวร 30,000 บาท/เดือน ผมเสนอแนะให้เขาใช้ไม่เกิน 10,000-15,000 บาท/เดือน (ถ้าไม่ได้เอาไปให้คุณพ่อคุณแม่ ฯลฯ) แล้วเก็บที่เหลือไว้ เราต้องหักเงินสำหรับการออมก่อน เหมือนรัฐบาลเก็บภาษีเรา เราจะได้รับยอดเงินเดือนหลังจากเงินเดือนเราถูกหักออกไปแล้วสำหรับภาษี และเราต้องหัก 10% จากยอดเงินเดือนของเรา ไม่ใช่จากยอดที่หักค่าภาษีไปแล้ว เช่น ถ้าได้เงิน 30,000 บาท เสียภาษี 1,000 บาท เหลือ 29,000 บาท เราต้องออมอย่างน้อย 10% ของยอด 30,000 บาท ไม่ใช่ 10% ของยอดที่เหลือ คือ 29,000 บาท
ผู้รู้ทางด้านการเงินแนะให้เราหาเงินเก่ง ออม(ก่อนใช้)อย่างน้อย 10% แล้วจึงค่อยใช้อย่างเศรษฐกิจพอเพียง ถ้ายังมีเงินเหลือ ออมเพิ่มขึ้นอีก ถ้าไม่มีเงินเหลือ ควรทำบัญชีรายรับรายจ่าย จะได้รู้ว่าเงินเราหายไปไหนบ้าง เช่น อาจพบว่าเราดื่มกาแฟ ทานข้าวนอกบ้าน 5 และ 3 ครั้งต่อสัปดาห์ เราก็อาจตัดทั้ง 2 ลงไปบ้าง ทานที่บ้านแทน ฯลฯ อะไรเหล่านี้เป็นต้น
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี