คณะกรรมาธิการการสังคม เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยคณะอนุกรรมาธิการกิจการผู้สูงอายุ ได้จัดทำรายงานการพิจารณาศึกษา เรื่องการ “การสร้างหลักประกันรายได้ให้แก่ผู้สูงอายุไทย” โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อ
๑.เพื่อศึกษาสถานการณ์และข้อมูลเกี่ยวกับหลักประกันรายได้ในวัยสูงอายุของประเทศไทย
๒.เพื่อศึกษาปัญหาและอุปสรรคของระบบการออมเพื่อการเกษียณของประเทศไทย
๓.เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนได้นำผลการศึกษาและข้อเสนอแนะไปเป็นแนวทางในการพิจารณาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงระบบการออมเพื่อการเกษียณและการสร้างหลักประกันรายได้สำหรับผู้สูงอายุ
โดยมีสาระสำคัญและข้อแนะ ดังนี้ โครงสร้างประชากรของไทยที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เนื่องด้วยอัตราการเกิดที่ลดลง ระบบสาธารณสุขและความก้าวหน้าทางการแพทย์ ส่งผลให้คนไทยมีสุขภาพดีและมีช่วงอายุที่ยืนยาวขึ้น ในปี พ.ศ. ๒๕๔๘ ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) โดยมีประชากร อายุ ๖๐ ปี ร้อยละ ๑๐.๒ ปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society) โดยมีประชากร อายุ ๖๐ ปี ร้อยละ ๒๐ และ จากประมาณการในปี พ.ศ. ๒๕๗๓ ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มที่ (Super- Aged Society) โดยมีประชากร อายุ ๖๕ ปี ร้อยละ ๒๐
จากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร ส่งผลกระทบในด้านต่างๆ ในวงกว้าง ทั้งด้านสังคม บทบาทหน้าที่ วิถีชีวิต ความเป็นอยู่ คุณภาพชีวิตของประชาชน ด้านเศรษฐกิจ ด้านงบประมาณ ระบบการเงินการคลังของประเทศ ตลอดจนการแข่งขันทุกด้านของประเทศในเวทีโลก สังคมไทยทุกภาคส่วนได้ตระหนัก และเล็งเห็นความสำคัญของปัญหาสังคมผู้สูงอายุในอนาคต มีการริเริ่มเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ เพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ เช่น ด้านประชากร ด้านการศึกษา ด้านเศรษฐกิจ ด้านสาธารณสุข ด้านโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก ด้านงบประมาณการเงินการคลัง คณะกรรมาธิการการสังคม เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ร่วมกับ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เสนอคณะรัฐมนตรี กำหนดให้ “สังคมผู้สูงอายุเป็นระเบียบวาระแห่งชาติ” เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้บูรณาการ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง และ เตรียมความพร้อมในทุกด้าน นำพาสังคมไทยสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ในทุกด้าน ทั้งนี้ ได้มีประกาศระเบียบวาระแห่งชาติสังคมผู้สูงอายุ” ไปเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
“รายได้ของผู้สูงอายุ” เป็นปัญหาที่สำคัญในการก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ คุณภาพชีวิตของประชาชน และ ด้านงบประมาณการเงินการคลังของประเทศ ข้อมูลการสำรวจประชากรสูงอายุในประเทศไทย ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า ผู้สูงอายุมีจำนวน ๑๑,๓๑๒,๔๔๗ คน ในขณะที่อัตราการเกิดและสัดส่วนของประชากรในวัยแรงงานลดลง ส่งผลให้ประชากรวัยแรงงาน ๑๐๐ คน ต้องรับภาระเลี้ยงดูผู้สูงอายุถึง ๒๕.๓ คน และในอนาคตแรงงานดังกล่าวต้องเข้าสู่วัยสูงอายุ ซึ่งจะต้องรับภาระเลี้ยงดูตนเองและผู้สูงอายุด้วย ปัจจุบันผู้มีงานทำในประเทศไทยมีจำนวน ๓๗.๗ ลานคน แบ่งเป็น ๑) แรงงานในระบบ เช่น ข้าราชการ พนักงานและลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ ครูโรงเรียนเอกชน แรงงานในระบบประกันสังคม และ ๒) แรงงานนอกระบบ เช่น เกษตรกร คนขับรถรับจ้าง ช่างเสริมสวย อาชีพค้าขาย รับจ้างทั่วไป เป็นต้น ในส่วนของรัฐได้จัดสวัสดิการหลักประกันรายได้ขั้นพื้นฐานของแรงงานทุกประเภท ได้แก่ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ซึ่งผู้สูงอายุยกเว้นข้าราชการบำนาญมีสิทธิได้รับ แต่เงินจำนวนนี้ยังต่ำกว่าเส้นความยากจนในปัจจุบัน ดังนั้น การสร้างหลักประกันรายได้เพื่อการดำรงชีพที่เพียงพอจึงยังจำเป็นที่จะต้องพึ่งพารายได้จากการออมในวัยทำงานของแรงงานเหล่านี้ ซึ่งแรงงานในระบบได้รับความคุ้มครองด้านหลักประกันรายได้เมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุจากกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนประกันสังคม กองทุนสงเคราะห์ครูใหญ่และครูโรงเรียนเอกชนซึ่งเป็นการออมในภาคบังคับ โดยมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นการออมภาคสมัครใจเพิ่มเติม สำหรับแรงงานนอกระบบนั้นปัจจุบันยังไม่ได้รับความคุ้มครองด้านหลักประกันรายได้เมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุจากการออมภาคบังคับแต่อย่างใดอันเนื่องจากปัญหาและอุปสรรคในการจัดการกองทุนประเภทภาคบังคับในแรงงานกลุ่มนี้ อย่างไรก็ดี รัฐได้จัดตั้งกองทุนการออมแห่งชาติขึ้น เพื่อสร้างการออมภาคสมัครใจให้แก่แรงงานนอกระบบ แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จตามเป้าประสงค์
ในการให้ความช่วยเหลือผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย รัฐได้ออกกฎหมายช่วยเหลือผู้สูงอายุเฉพาะกลุ่ม โดยเน้นความจำเป็นที่จะต้องได้รับความช่วยเหลือเพิ่มเติม โดยการจ่ายเงินสงเคราะห์เพื่อการยังชีพแก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย และการจ่ายเงินช่วยเหลือแก่ผู้สูงอายุที่ประสบปัญหาทางสังคมหรือเศรษฐกิจตามพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. ๒๕๔๖ รวมถึงมาตรการด้านภาษีเพื่อจูงใจให้เกิดการจ้างแรงงานผู้สูงอายุ มาตรการในการแปลงสินทรัพย์ให้เป็นรายได้โดยการให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ (Reverse Mortgage) และการให้ความช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ นอกจากนี้ในระดับชุมชนมีการจัดตั้งกองทุนต่างๆ เช่น กลุ่มออมทรัพย์ กองทุนสวัสดิการชุมชน กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี เป็นต้น เพื่อส่งเสริมการออมและการสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนในชุมชน
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลังได้ให้ข้อมูลว่า รัฐได้จัดสรรงบประมาณ ด้านสวัสดิการสังคมกรณีชราภาพในปี พ.ศ. ๒๕๖๐ เป็นจำนวนเงิน ๓.๗ แสนล้านบาท(ร้อยละ ๒.๔ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ : GDPหรือ ร้อยละ ๑๒ ของงบประมาณ) ในครั้งการเสวนาโต๊ะกลมเรื่อง “แรงงานนอกระบบกับการออมเพื่อสร้างหลักประกันรายได้ (บำนาญ) ในวัยสูงอายุ” ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรดังกล่าวย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในอนาคตทั้งด้านการผลิต การลงทุนการออม การบริโภค และการคลังของประเทศที่รัฐต้องจัดสรรงบประมาณเพื่อการดูแลผู้สูงอายุ
จากปัญหาดังกล่าวข้างต้น ภาครัฐควรต้องมีการวางแผน นโยบายและมาตรการทางกฎหมาย เพื่อสร้างหลักประกันรายได้ที่มั่นคงในระยะยาวให้แก่ประชาชนในวัยสูงอายุ ขับเคลื่อนการออมเพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินของแรงงานนอกระบบและการกำหนดวิธีการออมที่มีความเหมาะสมสำหรับแรงงานนอกระบบ เพื่อให้แรงงานนอกระบบมีการออมอย่างแท้จริง รองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์และลดความเสี่ยงของความทุกข์ยากในวัยสูงอายุของประชาชน
คณะกรรมาธิการการสังคม เด็ก เยาวชน สตรีผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติแห่งชาติโดยคณะอนุกรรมาธิการกิจการผู้สูงอายุ ได้ดำเนินการศึกษา “การสร้างหลักประกันรายได้ให้แก่ผู้สูงอายุไทย” เพื่อเป็นอีกหนึ่งแนวทางในการเตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุดังกล่าว
(อ่านต่อสัปดาห์หน้า)
สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ถนนอู่ทองใน ดุสิต กทม. 10300 email : dek_senate@hotmail.co.th หรือ Facebook: กมธ.พัฒนาสังคม หรือ กลุ่มงานคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและกิจการเด็กฯ วุฒิสภา โทร.02-831-9225-6 แฟกซ์ 02-831-9226
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี