เมื่อท่านออมเงินได้ทุกเดือน เดือนละ 10% เป็นอย่างน้อยของเงินเดือน ก่อนที่จะเอาเงินทั้งหมดไปลงทุน ท่านต้องเก็บเงินไว้สำหรับกรณีฉุกเฉิน ประมาณ 6 เดือนของรายจ่ายของท่านต่อเดือน เช่น ถ้าท่านใช้จ่ายเดือนละ 15,000 บาท ท่านต้องมีเงินสำรอง 90,000 บาท ยอดเงินนี้ต้องมีสำหรับเก็บไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น แต่ถ้าท่านเป็นนักวางแผนที่ดี ท่านคงแทบไม่ได้ใช้เงินก้อนนี้ จึงไม่ควรเอาไปฝากไว้ที่ธนาคารในบัญชีออมทรัพย์หรือฝากประจำ ฯลฯ เพราะจะได้ดอกเบี้ยน้อย แต่ควรนำไปซื้อพันธบัตรรัฐบาล เพื่อที่จะได้รับดอกเบี้ยที่สูงขึ้นกว่าการฝากธนาคาร และแทบไม่มีความเสี่ยง เนื่องจากเป็นพันธบัตรของรัฐบาล
ถ้าท่านมียอดเงินกรณีฉุกเฉินไว้แล้ว 6 เดือนของรายจ่าย ท่านควรวางแผนทางด้านการเงินไว้สำหรับระยะสั้นถ้ามี และระยะยาว ระยะสั้นคือสำหรับการไปเรียนต่อ สำหรับซื้อบ้าน ซื้อรถ ค่ากิน ค่าใช้จ่ายของลูก ฯลฯ และระยะยาว คือ วางแผนสำหรับเวลาท่านเกษียณอายุจากการทำงาน
การลงทุนในระยะสั้นท่านควรเลือกลงทุนในกองทุนในระยะสั้น เช่น 2-5 ปี ในระยะเวลาเท่านี้ท่านไม่ควรลงทุนในกองทุนที่เป็นหุ้นเท่านั้น เพราะการลงทุนในหุ้นท่านจะต้องลงทุน (ในความคิดเห็นของผม) เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 10 ปี หรือยิ่งมากยิ่งดี เพราะหุ้นในระยะ 1-3 ปี อาจขาดทุน แต่จากข้อมูล 17 ปีของตลาดหลักทรัพย์ ถ้าซื้อหุ้นทิ้งไว้ 17 ปี จะได้เฉลี่ยปีละ 11% ฉะนั้นถ้าท่านต้องการใช้เงินในระยะสั้น ท่านควรซื้อกองทุนที่เน้นหนักไปทางพันธบัตรเป็นหลัก และมีหุ้นบ้างเป็นส่วนน้อย
สำหรับการลงทุนระยะยาวเพื่อการเกษียณ ถ้าท่านไม่มีความจำเป็นจริงๆ ท่านควรเลือกกองทุนที่เน้นหุ้น ที่ไม่มีการจ่ายปันผล แต่เอาผลที่ได้กำไรไปทบต้น ถ้าทำเช่นนี้โดยเฉลี่ยยอดเงินเพิ่มจะเป็น 2 เท่า ทุก 7 ปี แต่อันนี้ท่านต้องฝากระยะยาวจริงๆ เช่น ฝากตั้งแต่อายุ 25 ปี ไปดูผลเอาตอนเกษียณ แต่ท่านต้องเลือกกองทุนที่ดีจริง ที่มีผู้จัดการกองทุนที่ดี ที่มีผลประกอบการย้อนหลังที่ดีไป 5 ปี 10 ปี อย่างสม่ำเสมอ และหรือดีกว่าตลาด เช่น ในปี 2561 เป็นปีที่ตลาดหลักทรัพย์ไม่ดีเอาเสียเลย แต่กองทุนที่ดี ถ้าขาดทุนจะขาดทุนน้อยกว่าตลาด การซื้อกองทุนระยะยาวท่านต้องใช้เงินเย็น เงินที่ท่านไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ การเลือกซื้อกองทุนที่เอากำไรไปทบต้นดีอีกอย่าง คือ ถ้ากองทุนท่านขึ้น มีกำไร และท่านขายกองทุนออกไปจำนวนหนึ่ง กำไรที่ท่านได้ไม่ต้องเสียภาษี แต่ถ้าท่านซื้อกองทุนที่มีการปันผล ท่านจะต้องเสียภาษี 10% ของยอดปันผล หัก ณ ที่จ่าย
หากท่านไม่มีเงินมากในแต่ละเดือน เช่น ลูกศิษย์ผมที่มีเงินเหลือใช้ประมาณ 15,000 บาทต่อเดือน ถ้าเขาซื้อกองทุนที่ลงทุนหุ้นเท่านั้น โดยซื้อทุกเดือน เดือนละ 10,000 บาท ถ้าคิดว่าจะได้ค่าตอบแทนเฉลี่ยที่ปีละ 10% โดยจะฝาก 30 ปี ยอดเงิน 10,000 บาทนี้ ถ้าได้ 10% ทุกปีอีก 30 ปีข้างหน้า เฉพาะยอด 10,000 บาทนี้จะมีค่าถึง 174,500 บาท และถ้าซื้อทุกเดือนตลอดไป 30 ปี จะมียอดเงินเท่าไหร่?! รวมทั้งรายได้ของคุณหมอน่าจะได้เพิ่มขึ้นในระยะหนึ่ง
วิธีซื้อถ้าจะให้ดี โดยเฉพาะถ้าเรามีเงินน้อยในแต่ละเดือน เราควรซื้อเป็นประจำทุกเดือน เลือกให้ดี แล้วสั่งให้หักบัญชีทุกเดือนเพื่อไปซื้อกองทุน วิธีนี้เรียกว่า dollar cost average (DCA) เป็นวิธีที่ดีสำหรับผู้ที่มีเงินเดือนไม่มาก เราสามารถซื้อได้ขั้นต่ำเพียง 500 บาท เราไม่ควรซื้อหุ้นเอง เพราะไม่มีความรู้ ไม่มีเวลาที่จะติดตาม และไม่มีเงินมากที่จะซื้อหุ้น เพราะถ้าเราซื้อหุ้น เราต้องซื้อ 100 หุ้นเป็นอย่างน้อย ถ้าเรามี 500 บาท ที่จะลงทุนในแต่ละเดือน เราจะหาหุ้นที่มีราคา 5 บาท ไม่ค่อยได้มากนัก วิธีลงทุนแบบ DCA จะดีที่สุด
ถ้าท่านต้องเสียภาษี ท่านควรใช้สิทธิประโยชน์ที่ท่านได้จากรัฐบาลคือ ถ้าท่านมีสิทธิ์ได้รับการลดหย่อนภาษีได้เท่าไหร่ควรซื้อ LTF, RMF ให้เต็มสิทธิ์ของท่านและซื้อเท่าที่จะหักภาษีได้เท่านั้น แต่ผู้ที่มีรายได้น้อยมักไม่ต้องเสียภาษี หรือเสียน้อยมาก ปีนี้การซื้อ LTF เป็นปีสุดท้ายที่รัฐบาลให้การสนับสนุน แต่รัฐบาลอาจให้ต่อไป หรือมีมาตรการการกระตุ้นการออมด้วยวิธีอื่น ถ้าซื้อ LTF ต้องถือไว้ 7 ปีปฏิทิน คือ 5 ปีนั่นเอง เช่น ซื้อธันวาคม 2561 ท่านสามารถขายได้ในปี พ.ศ.2565 ถ้าท่านต้องการที่จะขาย ส่วน RMF ท่านสามารถนำไปหักภาษีได้เช่นกัน แต่ท่านต้องถือจนอายุ 55 ปี หรือถ้าซื้อตอนอายุ 54 ปี ท่านต้องถือไว้ 5 ปี เนื่องจาก LTF, RMF มีข้อแม้เกี่ยวกับการถือระยะยาว จึงควรซื้อเท่าที่ท่านสามารถหักภาษีได้เท่านั้น ถ้ามีเงินเหลือไปซื้อกองทุนที่ไม่มีข้อจำกัดเรื่องเวลา
ประเด็นที่สำคัญคือ ท่านต้องเริ่มต้นออม ลงทุน ให้เร็วที่สุด ท่านจะประสบความสำเร็จมากที่สุด จะถึงเป้าหมายเร็วยิ่งขึ้น ถ้าเริ่มจากอายุ 24 ปี ท่านจะมีเงินหลายล้าน หรือหลายสิบล้านหรือเป็นร้อยล้านตอนเกษียณ แล้วแต่อาชีพ รายได้ของแต่ละคน
อย่างไรก็ตาม ต้องพยายามศึกษาหาข้อมูลของกองทุนต่างๆ ที่หาดูได้จาก Morning star ฯลฯ
ขอให้รีบออมและลงทุนครับ ตอนเกษียณจะได้ไม่ต้องห่วงเรื่องฐานะการเงิน จะได้มีอิสรภาพทางการเงิน กล่าวคือที่รายได้จากสินทรัพย์ (ไม่ใช่จากการทำงาน) มากกว่ารายจ่ายในแต่ละเดือน
เริ่มเดี๋ยวนี้ครับ และขอให้โชคดี
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี