(ต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว)
๕.ปัจจุบันมีกองทุนจัดการระบบบำนาญหลายกองทุน เช่น กองทุนประกันสังคม กองทุนการออมแห่งชาติและกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติที่กำลังจะจัดตั้งขึ้น ควรบูรณาการ เชื่อมโยงเป็นโครงข่ายเดียวกัน เพื่อฐานข้อมูลและความมีประสิทธิภาพ และควรเป็นภาคการออมที่รัฐจ่ายสมทบ ทั้งแรงงานในระบบและนอกระบบ
๖.ฐานข้อมูลผู้สูงอายุ มีความสำคัญอย่างยิ่งในการบริหารจัดการหลักประกันรายได้ ดังนั้น ต้องมีการจัดทำฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการสร้างหลักประกันรายได้ของแรงงานในระบบและนอกระบบ รวมถึงฐานข้อมูลผู้สูงอายุเพื่อใช้ในการวิเคราะห์และประเมินความจำเป็นและความเป็นอยู่ และมีการเชื่อมโยงกับฐานข้อมูลแห่งชาติ (Linkage Center) ซึ่งกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบในการบริหารจัดการ
๗.สร้างแรงจูงใจการออมให้กับแรงงานนอกระบบ โดย พัฒนาผลิตภัณฑ์ กำหนดหลักเกณฑ์ สิทธิประโยชน์ที่เหมาะสม เพื่อสร้างแรงจูงใจ โดยการประสานความร่วมมือของกองทุนประกันสังคมตามมาตรา ๔๐ และ กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เพื่อเพิ่มสมาชิกให้มากขึ้น
๘.ภาครัฐและภาคเอกชนโดยเฉพาะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการออมต้องประชาสัมพันธ์และอบรมให้ความรู้ การวางแผนการออม ให้กับประชาชนตั้งแต่เยาว์วัยและวัยแรงงาน เพื่อประโยชน์สูงสุดในการเตรียมความพร้อมในการออม
๙.หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องจัดการพัฒนาทักษะด้านต่างๆ ให้กับแรงงาน เช่น ด้านภาษา การบริหาร การจัดการ การเงิน ด้านสุขภาพ ด้านเทคโนโลยี การเข้าถึงแหล่งทุน เป็นต้น เพื่อเตรียมความพร้อมในการปรับตัวรองรับปัจจัยต่างๆ ที่จะส่งผลต่อการทำงานในอนาคต
๑๐.“ชุมชนเข้มแข็ง” ปัจจุบันการพัฒนาชุมชนรุดหน้าไปมากแล้ว ทุนและศักยภาพชุมชนทั้งทางสังคมและทางกายภาพ ได้รับการพัฒนาอย่างเป็นระบบ โดย การน้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นแนวทางปฏิบัติ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการออม ต้องบูรณาการให้เครือข่ายชุมชนเป็นตัวแทนนำการออมระดับประเทศไปสู่ภาคประชาชนและภาคแรงงานในระดับชุมชนอย่างทั่วถึง
สรุปแนวทางการปฏิรูปการสร้างหลักประกันรายได้
จากการศึกษาจึงขอเสนอแนวทางการปฏิรูปการสร้างหลักประกันรายได้ในอีก ๑๐ ปีข้างหน้า (พ.ศ. ๒๕๗๓ ประเทศไทยจะก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มที่) เพื่อให้ประชาชนมีหลักประกันรายได้ในวัยสูงอายุ ดังนี้
๑.การปรับปรุงการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ โดยจ่ายตามฐานะทางรายได้ และความเป็นอยู่ของครอบครัว โดยแบ่งผู้สูงอายุที่เกิดก่อน และ หลังปี พ.ศ. ๒๕๑๓ กำหนดผู้สูงอายุเป็น ๓ กลุ่ม คือ กลุ่มมีฐานะทั่วไป กลุ่มฐานะเกือบจน และ กลุ่มฐานะยากจน เพื่อให้ผู้สูงอายุได้รับเบี้ยยังชีพแตกต่างกันตามความจำเป็น อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม
๒.การปรับเพิ่มเงินให้กับผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยตามมาตรา ๑๕/๓ แห่งพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. ๒๕๔๖ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๐ จะส่งผลให้ผู้สูงอายุที่ยากจน มีรายได้ขั้นต่ำ ๑,๒๐๐ บาท ต่อเดือน เป็นการช่วยเหลือตามสภาพความจำเป็น และ ไม่ส่งผลกระทบต่องบประมาณของรัฐ
๓.ปรับหลักเกณฑ์ของกองทุนชราภาพ ภายใต้ระบบประกันสังคม เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างเงินกองทุนชราภาพและภาระบำนาญ ให้เกิดความมั่นคงและยั่งยืนของกองทุน โดยการเพิ่มเงินสมทบ การเพิ่มอายุการรับบำนาญ การปรับเกณฑ์การคำนวณค่าจ้างเป็นตลอดช่วงการออม การลดอัตราเพิ่มขึ้นของบำนาญสำหรับการออมตั้งแต่ ๑๘๐ เดือน และการสมทบเงินสำรองจากภาครัฐ
๔.สร้างการออมภาคบังคับให้แรงงานในระบบในรูปแบบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ควรมีการดำเนินการ โดยพิจารณาถึงสภาพความจำเป็นในทางเศรษฐกิจและสังคม ควรบูรณาการบริหารกองทุนร่วมกับสำนักงานประกันสังคมเพื่อให้เกิดระบบงานเครือข่าย และทรัพยากรของรัฐอย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากสมาชิกกลุ่มเป้าหมายเป็นแรงงานในกลุ่มเดียวกัน
๕.รัฐต้องพัฒนาการออมให้แก่แรงงานนอกระบบอย่างมีประสิทธิผล แรงงานนอกระบบควรมีหลักประกันการออมที่เพียงพอ การปรับหลักเกณฑ์ และวิธีการดำเนินงานของกองทุนการออมแห่งชาติ ให้มีการดำเนินการที่สามารถบรรลุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิผล หรือการทำงานร่วมกับการประกันตนตามมาตรา ๔๐ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓
๖.การจัดหางบประมาณสนับสนุนการปฏิรูประบบบำนาญทั้งระบบ ภาครัฐต้องพิจารณาใช้มาตรการทางภาษีสนับสนุน เช่น การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยแยกสัดส่วนจำนวนหนึ่ง นำมาใช้ในการดำเนินการรองรับสังคมผู้สูงอายุ การดำเนินการดังกล่าวจะเป็นการสร้างหลักประกันรายได้ให้ผู้สูงอายุทั้งระบบ ทั้งยังเป็นการปฏิรูประบบบำนาญของประเทศ ให้มีความทั่วถึง ความเป็นธรรม และมีประสิทธิภาพ ความยั่งยืนของระบบ
๗.การขยายอายุเกษียณและการส่งเสริมสนับสนุนการจ้างงานผู้สูงอายุ เป็นหลักการสำคัญที่ทุกประเทศเริ่มนำมาใช้ เป็นการลดภาระช่วงเวลาการจ่ายบำนาญช่วยพัฒนาระบบเศรษฐกิจในภาพรวม ลดภาระการพึ่งพิงสังคมของผู้สูงอายุ ทั้งนี้ ต้องศึกษาและดำเนินการอย่างละเอียดรอบคอบต่อไป
การสร้างหลักประกันรายได้ให้แก่ผู้สูงอายุไทยตามแนวทางการปฏิรูปการสร้างหลักประกันรายได้ดังกล่าวข้างต้น มีเป้าหมายที่จะสร้างหลักประกันรายได้ขั้นต่ำให้แก่ผู้สูงอายุไทยให้มีรายได้ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของเส้นความยากจนในช่วงแรก และคาดหวังว่าหากระบบการออมซึ่งเป็นภูมิคุ้มกันด้านรายได้จะบังเกิดผลเป็นรูปธรรม ซึ่งจะส่งผลให้ผู้สูงอายุไทยในอนาคตมีรายได้ขั้นต่ำไม่น้อยกว่าเส้นความยากจนต่อไป
คณะกรรมาธิการได้รายงานผลให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาแล้ว และที่ประชุมได้เห็นชอบกับข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการ ซึ่งจะเสนอไปยังคณะรัฐมนตรี และองค์กรอิสระต่อไป ทั้งนี้รายละเอียดต่างๆ สามารถที่จะติดตามในเว็บไซด์ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ https://www.senate.go.th
ร่วมแสดงความคิดเห็นได้ที่คณะกรรมาธิการการสังคม เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติแห่งชาติ โทร.๐๒-๘๓๑๙๒๒๕-๖ โทรสาร ๐๒-๘๓๑๙๒๒๖
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี