(ต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว)
จากข้อมูลดังกล่าว ถึงแม้ความขัดสนด้านการศึกษาส่งผลกระทบต่อผู้สูงอายุสูงสุด แต่จะไม่ส่งผลต่อการดำรงชีวิตผู้สูงอายุมากนัก เนื่องจากผู้สูงอายุมีการสั่งสมประสบการณ์ในการประกอบอาชีพ มีทักษะในการดำรงชีวิตและไม่ได้อยู่ในวัยแรงงานโดยตรง การสร้างหลักประกันรายได้ยามชรา และการดำรงชีวิตประจำวัน ยังเป็นความจำเป็นของผู้สูงอายุยากจน โดยเฉพาะกลุ่มที่ตกอยู่ในสภาวะต้องพึ่งพิงผู้อื่น ครอบครัวและชุมชนจะต้องเป็นด่านแรกในการเกื้อกูลให้ผู้สูงอายุสามารถดำรงชีวิตอยู่ในชุมชนได้อย่างมีคุณภาพ และภาครัฐต้องมีนโยบาย มาตรการต่างๆ ทั้งในระยะสั้นและในอนาคต
ภาวะด้านเศรษฐกิจผู้สูงอายุไทย จากรายงานธนาคารแห่งประเทศไทย พบว่า ผู้สูงอายุไม่มีการวางแผนหรือเริ่มต้นการออมเพื่อวัยเกษียณ เป็นจำนวนร้อยละ ๔๑ ยังมีหนี้สินถึงอายุ ๖๐ ปี
สูงถึง ร้อยละ ๒๙ และผู้สูงอายุมีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน ร้อยละ ๒๘ มีปัญหาสุขภาพ ร้อยละ ๗๐ อาศัยอยู่ตามชนบทและอยู่ตามลำพัง ร้อยละ ๖๕ ต้องพึ่งพิงรายได้จากครอบครัวและจาก
ภาครัฐเป็นอย่างมาก อัตราการพึ่งพิงวัยแรงงานในปัจจุบัน ๔ ต่อ ๑และ คาดว่า ในปี พ.ศ. ๒๕๗๐ จะเพิ่มเป็น ๓ ต่อ ๑ นั่นคือวัยแรงงานจะลดลงเรื่อยๆ
จากการสำรวจประชากรผู้สูงอายุของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ (สำรวจทุก ๕ ปี) พบว่า ผู้สูงอายุยังคงทำงาน ร้อยละ ๓๙.๕ ผู้สูงอายุไม่มีการออม ร้อยละ ๒๖.๒ มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน (๓๐,๐๐๐ บาท/ปี) ร้อยละ ๓๔.๓ มีแหล่งรายได้จากบุตร ร้อยละ ๓๗ ผู้สูงอายุอาศัยอยู่คนเดียวตามลำพัง ร้อยละ ๑๐.๔ อัตราเข้ารับบริการทางการแพทย์ ร้อยละ ๖๙.๖
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ได้ทำการศึกษาวิเคราะห์ระดับสินทรัพย์การออมขั้นต่ำที่ผู้เกษียณอายุพึงมี สำหรับการประกันคุณภาพชีวิตขั้นพื้นฐาน โดย คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่า
ระดับการออมขั้นต่ำที่ผู้เกษียณพึงมี เฉลี่ยอยู่ที่ ๕.๙- ๑๓.๓๗ ล้านบาท ขึ้นอยู่กับปัจจัยส่วนบุคคล เช่น เพศ อายุ อาชีพ สุขภาพ อายุขัย และค่าครองชีพแต่ละพื้นที่
เมื่อคำนวณเงินออมจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หักด้วยค่าใช้จ่ายหลังเกษียณ พบว่า ร้อยละ ๗๔ ไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์การออม หรือ มีเงินออมขั้นต่ำไม่เพียงพอ ต่อค่าใช้จ่ายหลังเกษียณโดยเฉลี่ย
ปัจจัยที่มีผลสำเร็จต่อการออม ได้แก่ ผู้ทำงานตระหนักถึงความเสี่ยงที่จะมีเงินออมที่เพียงพอ ต่อการดำรงชีวิตหลังเกษียณ ระดับความรู้ทางการเงิน และระดับรายได้
ข้อเสนอแนะจากงานวิจัย การเผยแพร่เป้าหมายการออมที่ชัดเจนด้วยตัวเลขการออมขั้นต่ำที่จำเป็นต่อการดำรงชีพเพื่อให้เกิดความตระหนักถึงความจำเป็นในการดำรงชีพในวัยเกษียณ นำไปสู่การปรับเปลี่ยนทัศนคติที่ดีต่อการออมที่สอดคล้องกับเป้าหมายการดำรงชีวิตหลังวัยเกษียณ
การปรับระดับการออมให้เป็นระบบการออมภาคบังคับ และให้นายจ้างเพิ่มระดับการสมทบ จากร้อยละ ๓ เป็น ร้อยละ ๕.๕ รวมถึงการปรับแผนการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้น โดยใช้มาตรการทางภาษีจูงใจภาคเอกชน
ผลกระทบและความท้าทาย การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างประชากร ส่งผลต่อทิศทางการค้า การลงทุน และ การบริโภคของโลกลดลง จากการที่มีสัดส่วนผู้สูงอายุมากขึ้น ประกอบกับอัตราการเกิดที่ลดลง จะส่งผลให้จำนวนประชากรวัยแรงงานมีแนวโน้มลดลง ขณะเดียวกันอัตราการพึ่งพิงของวัยแรงงานต่อผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น
การบริโภคลดลง จากรายได้และความจำเป็นของผู้สูงอายุลดลง ทำให้ความต้องการสินค้าและบริการลดลง ภาคการผลิตก็จะลดลงด้วย ส่งผลต่อเนื่องสู่ภาคการลงทุน เนื่องจากไม่มีแรงจูงใจในการผลิต ผลตอบแทนในการลงทุนอยู่ในระดับต่ำ
การไม่มีระบบการวางแผนการออมที่ดี เมื่อผู้สูงอายุไม่มีระบบการวางแผนการออมจะทำให้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนสูงขึ้นด้วย
ผลกระทบต่อเนื่องจากการไม่มีการวางแผนที่ดีของประชากรผู้สูงอายุ ส่งผลให้ภาครัฐต้องจัดหางบประมาณเพื่อดูแลสิทธิ์สวัสดิการ การดูแลรักษาพยาบาล การบริการในยามเกษียณผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น กระทบต่องบประมาณพัฒนาประเทศด้านอื่นๆ
จากสถานการณ์สังคมผู้สูงอายุดังกล่าว ภาครัฐ และ สังคมทุกภาคส่วน ต้องตระหนักถึงผลกระทบในอนาคต ต้องเตรียมความพร้อมในการรับมือสังคมผู้สูงอายุ โดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมก่อนถึงวัยสูงอายุ เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ คือ การมีหลักประกันรายได้ ในช่วงวัยสูงอายุ ต้องมีการออม ต้องมีการวางแผนรายได้อย่างพอเพียงต่อการใช้จ่ายตลอดชีวิตในช่วงวัยสูงอายุ สามารถรักษาระดับคุณภาพชีวิตไว้ได้ ไม่เป็นภาระต่อผู้อื่น สังคม และประเทศชาติ
หลักการสำคัญของการสร้างหลักประกันรายได้
จากภาวะสังคมผู้สูงอายุ สภาวะความเป็นอยู่ คุณภาพชีวิต ศักดิ์ศรีและความมั่นคงของมนุษย์ ตลอดจนสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจ ของผู้สูงอายุไทยในปัจจุบัน และกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ในอนาคตอันใกล้ ดังกล่าวแล้ว ภาครัฐและทุกภาคส่วนสังคมต้องตระหนักถึงผลกระทบ เล็งเห็นความสำคัญในการเตรียมความพร้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านหลักประกันรายได้ช่วงวัยสูงอายุ ของประชาชนทุกภาคส่วน แรงงานทั้งในและนอกระบบ เพื่อให้ผู้สูงอายุมีรายได้เพื่อการดำรงชีวิต อย่างพอเพียง มีคุณภาพชีวิตที่ดี ไม่เป็นภาระต่อสังคม ไม่เป็นภาระต่องบประมาณและการคลังของประเทศ ไม่เป็นปัญหาต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ และการพัฒนาด้านอื่นๆ ประเทศชาติสงบสุข มั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน สามารถแข่งขันในเวทีโลกได้อย่างสง่างาม
จากการศึกษาตัวอย่าง รูปแบบการดำเนินการเตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ในหลายประเทศที่พัฒนาแล้ว ในยุโรป เอเชีย และจากการศึกษาวิจัยในประเทศของสถาบันต่างๆ ในประเทศ พบว่านโยบายและมาตรการที่สำคัญของประเทศ ในการเตรียมความพร้อมด้านหลักประกันรายได้ผู้สูงอายุใน๓ มาตรการหลัก ประกอบด้วย มาตรการขยายและส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุ มาตรการด้านการออม และมาตรการด้านภาษี (อณันญา ชัยสงค์, Aging Society มุมมองและผลกระทบ, ๒๕๖๐.)
(๑) มาตรการขยายและส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุ
การกำหนดอายุเกษียณของประเทศไทยในปัจจุบันเหมาะสมเพียงใด เป็นประเด็นคำถามและประเด็นปัญหาที่สังคมไทยถกแถลงวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน ตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ๒๔๙๔ ซึ่งกำหนดอายุเกษียณราชการไว้ที่ อายุ ๖๐ ปี และการจ้างงานในระบบสังคมไทยต้องยึดถือการจ้างงานตามแนวทางนี้ รวมระยะเวลากว่า ๖๗ ปี จึงถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า เป็นกฎหมายที่เก่าแก่ที่สุดอีกฉบับหนึ่ง ค่อนข้างล้าสมัยถึงแม้จะได้รับการแก้ไขในบางประเด็น เช่น การขยายอายุเกษียณกลุ่มข้าราชการบางกลุ่ม ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะและขาดแคลน กลุ่มตุลาการ กลุ่มอาจารย์มหาวิทยาลัย เป็นต้น ข้อมูลภาวะสังคมไทย ปัจจัยทางด้านประชากรศาสตร์ ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ ปัจจัยสังคมและการเมือง ในยุคสมัยนั้น กับสังคมปัจจุบันแตกต่างกันมาก กล่าวคือ
ในปี พ.ศ. ๒๔๙๔ สัดส่วน ผู้สูงอายุในสังคมไทย ร้อยละ ๕อายุคาดเฉลี่ย ชาย ๔๐ ปี หญิง ๔๓ ปี (ขณะที่อายุเกษียณ กำหนด ๖๐ ปี) อายุคาดเฉลี่ยเมื่ออายุ ๖๐ ปี (Life Expectancy at ๖๐) ชายประมาณ ๑๒ ปี หญิงประมาณ ๑๔ ปี (ปราโมทย์ ประสาทกุล และปัทมา ว่าพัฒนวงศ์, ตารางชีพ เครื่องมือสำคัญทางประชากรศาสตร์, ๒๕๔๔.) ส่งผลให้ผู้ที่ได้รับบำเหน็จบำนาญมีจำนวนไม่มาก หรือ มีเวลารับบำเหน็จบำนาญไม่ยาวนานนัก
ข้อมูลประชากรในปัจจุบัน จำนวนประชากร ๖๖,๒๓๔,๐๐๐ คน วัยเด็ก (๑๕ ปี) ๑๑,๔๒๖,๐๐๐ คน วัยแรงงาน (๑๕-๕๙ ปี) ๔๓,๐๓๘,๐๐๐ คน วัยสูงอายุ (๖๐ ปี) ๑๑,๗๗๐,๐๐๐ คน อายุคาดเฉลี่ยแรกเกิด ชาย ๗๒.๒ ปี หญิง ๗๘.๙ ปี อายุคาดเฉลี่ย (ชาย-หญิง พ.ศ. ๒๕๖๐) ๗๕.๔ ปี อายุคาดเฉลี่ย ๖๐ ปี (Life Expectancy at ๖๐) ชาย ๒๐.๒ ปี หญิง ๒๓.๖ ปี (สารประชากร มหาวิทยาลัยมหิดล, ฉบับเดือนมกราคม, ๒๕๖๑).
(อ่านต่อสัปดาห์หน้า)
สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ถนนอู่ทองใน ดุสิต กทม. 10300 email : dek_senate@hotmail.co.th หรือ Facebook: กมธ.พัฒนาสังคม หรือ กลุ่มงานคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและกิจการเด็กฯ วุฒิสภา โทร.02-831-9225-6 แฟกซ์ 02-831-9226
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี