ตามที่ได้กล่าวไว้ในบทความที่แล้วว่า ในปี พ.ศ. 2561 ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ได้รับการขอรับโลหิตถึง 1,291,468 หน่วย แต่สามารถจ่ายได้จริงเพียง 674,160 หน่วย ยังขาดอยู่อีกถึง 617,308 หน่วย ตามหลักการขององค์การอนามัยโลก เราควรมีผู้บริจาคโลหิต 3% ของประชากรทั้งหมด ถ้าคิดจากประชาชน 67 ล้าน เราควรมีผู้บริจาคโลหิต 2.01 ล้านคน และเราควรมีโลหิตเพียงพอสำหรับประมาณ 4-5 % ของประชากร หรือ 2,680,000- 3,350,000 หน่วยต่อปี
ปัจจุบันนี้ เนื่องจากสภากาชาดไทยมีความสามารถในการผลิตผลิตภัณฑ์จากพลาสมาได้เอง จึงยังมีความจำเป็นที่จะต้องรับบริจาคโลหิตมากยิ่งกว่าที่ได้ในปัจจุบัน ที่ได้รับเพียง 712,202 หน่วยในปี พ.ศ. 2561 ในปี พ.ศ. 2551 เราต้องนำเข้าผลิตภัณฑ์จากพลาสมาต่างๆ เป็นยอดเงินถึงเกือบ 900 ล้านบาท (ต่อปี) แต่ปัจจุบันเราผลิตได้เองแล้ว คือ Albumin, Globulin และ Factor 8 ซึ่งเป็นการลดการนำเข้าที่สำคัญยิ่ง ทั้งนี้ เรามีศักยภาพที่จะผลิตผลิตภัณฑ์จากพลาสมาได้ถึง 2 แสนลิตรของพลาสมา (ขณะนี้ผลิตได้ประมาณ 80,000 ลิตรของพลาสมา) ซึ่งในการที่จะได้พลาสมา 2 แสนลิตร เฉพาะส่วนนี้ เราจะต้องได้รับการบริจาคโลหิตมากกว่า 2 เท่าของ 2 แสนลิตรของพลาสมา เพราะคิดง่ายๆ พลาสมามีประมาณไม่ถึงครึ่งหนึ่งของโลหิตเท่านั้นเอง และเราก็ต้องเอาพลาสมาไปใช้ด้วยในการรักษาโรคต่างๆ ก่อนที่จะนำพลาสมาที่เหลือไปผลิตผลิตภัณฑ์ต่างๆ
สำหรับผม การบริจาคโลหิตปัจจุบันนี้ปลอดภัยมาก โดยเฉพาะผู้บริจาคโลหิต ไม่มีความเสี่ยงใดๆ เนื่องจากปัจจุบันแพทย์ใช้เข็มที่ใช้แล้วทิ้งเลย จึงไม่มีปัญหาเรื่องการติดเชื้อ และถ้าโลหิตของผู้บริจาคมีน้อยไป หรือถ้าท่านผู้จะบริจาคไม่ค่อยสบาย แพทย์ก็จะไม่รับบริจาคจากผู้ที่มีจิตอาสาท่านนั้นอยู่แล้ว การตรวจคัดกรองหาเชื้อโรคหรือโรคที่ติดต่อได้ทางโลหิต ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติมีมาตรฐานระดับโลก ที่จะตรวจคุณภาพของโลหิต ก่อนนำไปใช้รักษาผู้ป่วย
ผมถือว่าการบริจาคโลหิต เป็นการทำบุญที่ยิ่งใหญ่ และเป็นการกระทำที่ไม่ต้องวางแผนมาก ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น อย่างเช่นการทำบุญอื่นๆ ที่ต้องเตรียมวางแผนการเดินทาง เช่น ในการไปทอดกฐิน การบริจาคเงิน หรือหาผู้อื่นมาร่วมบริจาค หรือต้องไปวิ่งเป็นพันกิโลเมตร อย่าง พี่ตูน บอดี้สแลม (แต่การวิ่งของพี่ตูน นอกจากได้รับบริจาคเงินเป็นพันล้านแล้วยังเป็นการกระตุ้นการออกกำลังกายที่ดีอีกด้วย) เพื่อหาเงินให้โรงพยาบาลต่างๆ หรือการจัด Concert ฯลฯ แต่ถ้ามีข้อเสียก็คือ เสียเวลามาที่ศูนย์ฯ เท่านั้น อาจต้องเสียเวลาเรียน เสียเวลาเรียนการทำงานบ้าง แต่ท่านสามารถมาวันหยุดราชการได้ เช่น วันเสาร์ วันอาทิตย์ หรือวันหยุดนักขัตฤกษ์ เพราะที่ศูนย์บริการโลหิต ไม่มีวันหยุด ยกเว้นวันที่ 1 ของมกราคมทุกปี และอาจเสียค่าเดินทางเท่านั้น เป็นการลงทุนช่วยชีวิตคนที่แสนจะง่าย ผมจึงอยากเชิญชวนทุกๆ ท่านให้กรุณาพิจารณาบริจาคโลหิต จากตัวเลขที่เรามีทุกปี มีผู้บริจาคครั้งเดียว เป็นแสนๆ คน (ในปี พ.ศ. 2561 มี 218,143 คน ที่บริจาคโลหิตครั้งเดียว และในจำนวนนี้มีผู้บริจาคใหม่ 71,242 คน) บริจาค 2 ครั้ง 87,403 คน, 3 ครั้ง 54,174 คน, 4 ครั้ง, 30,916 คน ทั้งๆ ที่เราแต่ละคน สามารถบริจาคโลหิตได้ทุก 3 เดือน จริงๆ แล้ว ปกติภายใน 1 เดือนหลังจากการบริจาคโลหิต ร่างกายจะสามารถผลิตโลหิตใหม่ออกมาทดแทนได้เท่าเดิม ฉะนั้นการบริจาคโลหิตทุก 3 เดือน จึงไม่มีปัญหาใดๆ ผมขออนุญาตเสนอว่า เนื่องจากตลอดเวลาที่ผ่านมาจะมีผู้บริจาคมากในวันพระราชสมภพของในหลวง พระราชินี และสมเด็จพระเทพฯ ซึ่งมีจำนวนถึง 3,000 กว่ารายในแต่ละวัน ทำให้เจ้าหน้าที่บริการผู้มีจิตศรัทธาไม่ได้เต็มที่เท่าที่ควร โดยเฉลี่ยในแต่ละวันที่ศูนย์บริการโลหิตมีผู้บริจาคประมาณ 900 รายต่อวัน ฉะนั้นถ้าเป็นไปได้ ถ้าทุกๆ ท่านไปบริจาคในเดือนที่ท่านเกิด แล้วหลังจากนั้น กรุณาบริจาคทุก 3 เดือน ผมคิดว่า วิธีนี้จะเป็นวิธีการเพิ่มการบริจาค และเป็นการกระจายการบริจาคทุกๆ เดือน โดยไม่ไปกระจุกมากเกินไปในวันสำคัญวันหนึ่งวันใด
ถ้าเพียงผู้ที่บริจาคครั้งเดียว ในปี พ.ศ. 2561 ที่มีถึง 218,143 คน (71,242 คนเป็นผู้บริจาครายใหม่) จะกรุณาบริจาคทุก 3 เดือน หรือ 4 ครั้งต่อปี และทำอย่างนี้ทุกๆ ปี ปัญหาการขาดแคลนโลหิตแทบจะหมดลงไปอย่างสิ้นเชิง
ถ้าทุกๆ ท่านช่วยกัน เราจะมีโลหิตอย่างเพียงพอ สิ่งที่น่าภูมิใจ คือ โลหิตทุกหน่วยที่ศูนย์บริการโลหิตได้รับนั้น มาจากการบริจาคทั้งสิ้น ไม่มีการซื้อขาย แต่ในการตรวจคัดกรองโลหิตให้มีคุณภาพ ปลอดภัย จะต้องมีค่าใช้จ่ายในการตรวจหาเชื้อต่างๆ เช่น เชื้อ HIV, ตับอักเสบ B,C และเชื้อซิฟิลิส ฯลฯ
ผมจึงอยากเรียนเชิญท่านผู้อ่านทุกๆ ท่านกรุณาพิจารณาบริจาคโลหิต ซึ่งเป็นการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย มีแต่เสียเวลา เสียค่าเดินทางนิดหน่อย แต่ท่านจะสามารถช่วยเพื่อนมนุษย์ให้พ้นจากการเสียชีวิตได้อย่างง่ายดาย ขอให้ท่านพิจารณาไปบริจาคในวันไหนก็ได้ ของเดือนที่ท่านเกิด และหลังจากนั้น กรุณาบริจาคต่อเนื่องกันตลอดไป ทุกๆ 3 เดือน ถ้าท่านบริจาคอย่างสม่ำเสมอ ท่านสามารถบริจาคได้จนถึงอายุ 70 ปี แต่ช่วงอายุนี้ 60-70 ปี ทางศูนย์ฯ จะรับการบริจาคจากท่านเพียง 2 ครั้งต่อปี
ด้วยความขอบพระคุณยิ่งในการที่ได้กรุณาร่วมมือกันมานานแล้วสำหรับหลายๆ ท่าน และสำหรับท่านผู้อ่านท่านอื่นที่จะมาเริ่มต้นร่วมมือกันในการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันครับ ขอขอบพระคุณยิ่ง
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี