ช่วยกันแชร์มากๆ ครับ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง ในช่วงเวลาประมาณสองร้อยปีหลัง มนุษย์มีอายุยาวนานขึ้นกว่าสมัยก่อนมาก ด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ ทำให้อายุเฉลี่ยของมนุษย์ยาวขึ้นจากสี่สิบกว่าปี เป็นประมาณเจ็ดสิบปี
เมื่อมนุษย์มีอายุยาวนานขึ้น เราก็ย่อมมีโรคผู้สูงอายุมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
ไม่ว่าจะสมองเสื่อม อัลไซเมอร์ ความดันสูง ไขมันสูง ปวดหลัง กระดูกผุ ข้อเสื่อม และอีกมากมายครับ หนึ่งในปัญหาที่ทำให้การดำรงชีวิตในบั้นปลายของผู้สูงอายุยากลำบากมากขึ้น คือ ปัญหาตามัว
โรคตาหลายโรคที่ทำให้มัว มีอัตราเพิ่มสูงขึ้นเป็นลำดับในผู้สูงอายุ ไม่ว่าต้อกระจก ต้อหิน จุดรับภาพเสื่อมในผู้สูงอายุหรืออื่นๆ มนุษย์จึงมีความพยายามหาการรักษา หรือยาวิเศษมาใช้ เพื่อป้องกันหรือรักษาโรคเหล่านี้ เราหวังกันว่า จะมียาวิเศษสักอย่างที่เมื่อทานหรือใช้แล้ว สุขภาพตาและการมองเห็นของเราจะดี เห็นชัดไปตราบชั่วกาลนาน และหายจากโรคตาที่เป็นอยู่ (ซึ่งอยู่ระหว่างการรักษาที่ยืดเยื้อยาวนาน)ไปตราบชั่วกาลนาน
ปัญหาก็คือ ยาวิเศษแบบนั้นไม่มีอยู่จริง โรคทุกโรค ต้องการการป้องกันและรักษาด้วยวิธีการเฉพาะอย่าง หรือบางอย่างก็ป้องกันไม่ได้ มีแต่รักษาด้วยวิธีการเฉพาะโรคนั้นๆ และเราทุกคนต่างได้พบกับข้อมูลข่าวสารมากมาย เกี่ยวกับเรื่องการดูแลสุขภาพการใช้ยาหรือวิตามิน เพื่อป้องกันรักษาโรคทั้งหลาย มีโฆษณาสินค้ามากมายที่บ่งชี้คุณสมบัติที่หรูหรา บางครั้งก็ฟังน่าเชื่อถือ บางครั้งก็ดูไม่เข้าท่าเอาเสียเลย
ข้อมูลทางการแพทย์ที่น่าเชื่อถือในปัจจุบัน พบว่า วิตามินหรือสารอาหารหลายตัว มีประโยชน์ในการป้องกัน รักษาบำรุงสุขภาพจริง *** แต่จริงเฉพาะบางภาวะ และจริงเฉพาะกับบางโรคเท่านั้น *** อันที่จริงแล้ว ที่จักษุแพทย์ส่วนใหญ่ยอมรับ มีแค่ 1 โรคและ 1 โรค เท่านั้นจริงๆ คือ โรคจุดรับภาพเสื่อมในผู้สูงอายุ(age-related macular degeneration)
โรคจุดรับภาพเสื่อมในผู้สูงอายุ : วิตามินรวม
- มีงานวิจัยขนาดใหญ่ในอเมริกาเรื่องหนึ่งซึ่งสนับสนุนโดยองค์การอาหารและยาของสหรัฐ ชื่อ Age-Related Eye Disease Study (AREDS, 2001-2006) ทดลองให้ผู้สูงอายุทานวิตามินรวมทุกวันติดต่อกัน 5 ปี (วิตามินซี 500มิลลิกรัม, วิตามินอี 400 หน่วย IU, เบต้าแคโรทีน 50 มิลลิกรัม,สังกะสี(Zinc) 80 มิลลิกรัม ปริมาณวิตามินที่ใช้นี้ สรุปมาโดยการประชุมจักษุแพทย์และเภสัชกรผู้เชี่ยวชาญด้านสารอาหาร) และตรวจติดตามการลุกลามของต้อกระจก และจุดรับภาพเสื่อมในผู้สูงอายุ (age-related macular degeneration) ผลคือ1.วิตามินรวม ไม่ช่วยชะลอหรือลดต้อกระจกที่มีอยู่เลย 2.วิตามินรวมช่วยลดความเสี่ยงของการลุกลามของโรคจุดรับภาพเสื่อมได้ 25% เฉพาะผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงเท่านั้น 3.วิตามินรวม ไม่ให้ผลอะไรกับผู้ที่ไม่มีความเสี่ยงกับโรคจุดรับภาพเสื่อมเลย คนที่ยังมีการมองเห็นปกติ ไม่มีโรคนี้อยู่ แม้จะทานวิตามิน ก็ไม่ได้ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคนี้ขึ้น 4.องค์การอาหารและยาของสหรัฐ จึงแนะนำให้จักษุแพทย์ ซึ่งเป็นผู้ตรวจตาผู้ป่วยวินิจฉัยว่าผู้ป่วยรายใดจะได้ประโยชน์จากการทานวิตามินรวม และเป็นผู้แนะนำให้ใช้หรือไม่ใช้วิตามินรวม
- เมื่อได้ผลจาก AREDS แล้ว องค์การอาหารและยาสหรัฐ ทดลองต่อ เป็น AREDS2 , 2006-2013 ให้ผู้สูงอายุสี่พันกว่าคนทานวิตามินรวม 5 ปีเช่นกัน โดยปรับเปลี่ยนสูตรของวิตามินรวม คือ เพิ่ม โอเมก้า-3 100 มิลลิกรัม, ลูทีน10 มิลลิกรัม, ซีแซนทีน 2 มิลลิกรัม (omega-3, lutein, zeaxanthin) และตัด เบตาแคโรทีน ออก, ลดปริมาณ สังกะสี เพราะทำให้ระคายเคืองกระเพาะ
1.การเพิ่มโอเมก้า-3 ไม่ได้ประโยชน์เพิ่มสำหรับการชะลอโรคจุดรับภาพเสื่อม 2.การเพิ่มลูทีน, ซีแซนทีน ก็ไม่ได้ประโยชน์เพิ่มสำหรับโรคจุดรับภาพเสื่อม เมื่อเทียบกับเบตาแคโรทีน เพียงแต่ปลอดภัยมากกว่าเบตาแคโรทีนเท่านั้น เนื่องจากเบตาแคโรทีน อาจทำให้ผู้ที่สูบหรือเคยสูบบุหรี่มีโอกาสเป็นมะเร็งปอดเพิ่มขึ้น 3.สูตรวิตามินรวมสูตรใหม่นี้ ไม่ได้ผลกับการชะลอหรือป้องกันต้อกระจกเลย 4.คนที่ไม่มีโรคจุดรับภาพเสื่อมทานวิตามินไป ก็ไม่ได้ป้องกันการเกิดโรคนี้
โรคอื่นๆ ที่อาจเป็นไปได้ และอยู่ในระหว่างการทดลองให้แน่ชัด มีหลายโรคที่ดูมีแนวโน้มว่าจะดีกว่าเพื่อน คือ การทานโอเมก้า-3 ในผู้ป่วยโรคตาแห้ง หรือ น้ำตาบกพร่อง ซึ่งมีงานวิจัยขนาดไม่ใหญ่โตนักหลายเรื่อง ให้ผลในทางสนับสนุนว่าหากใช้เป็นตัวช่วย ผู้ป่วยโรคตาแห้งบางรายจะสบายตาขึ้นเคืองและแดงลดลง
ส่วนวิตามินหรืออาหารเสริมอื่นๆ ที่มีวางขายมากมายจะมีคำว่า “อาจจะ” อยู่ด้วยครับ เช่น อาจช่วยชะลอต้อกระจก, อาจมีส่วนช่วยการมองเห็น, อาจช่วยส่งเสริมสุขภาพตา และไม่มีงานวิจัยที่น่าเชื่อถือยืนยันเลยว่า การทานวิตามินใดใดจะช่วยทำให้การมองเห็นดีขึ้นได้ ในคนทั่วไปที่ไม่มีโรคขาดวิตามิน
ในคนปกติวิตามินเหล่านี้อาจมีประโยชน์จริงก็ได้ครับ แต่ตราบเท่าที่เรายังไม่มีข้อมูลยืนยันที่น่าเชื่อถือ (การโฆษณาคนไข้ตัวอย่าง เช่น อ้างว่า ป้าสมศรี ทานยาดีสว่าง แล้วตาเห็นชัดหลังจากรักษามา 5 โรงพยาบาล - เป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อถือเลย เพราะไม่มีข้อมูลรองรับว่า ป้าชื่อสมศรีจริงหรือไม่ เคยตามัวจริงหรือไม่ เคยรักษากี่โรงพยาบาลแล้ว) เราก็ไม่ควรเอาเงินไปเสียพร้อมๆ กับการเอาสุขภาพไปเสี่ยงกับยา วิตามิน หรืออาหารเสริมที่ไม่ทราบที่มาที่ไปเหล่านี้
กล่าวโดยสรุปคือ 1.ถ้าเรามีโรคตา ควรถามการปฏิบัติตัวที่เฉพาะเจาะจงกับโรคจากหมอที่ตรวจตาให้เรา ซึ่งบางโรคก็มีสิ่งที่ควรทำหรือห้ามทำ บางโรคก็ไม่
2.ถ้าเราไม่มีโรคตา และไม่อยากเกิดโรคตา ควรทำอย่างนี้ครับ a.หยุดบุหรี่ และบอกคนข้างๆ ให้หยุดบุหรี่b.สวมแว่นกันแดดให้บ่อย เมื่อออกกลางแจ้ง c.ทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะผักผลไม้สีต่างๆ โดยเปลี่ยนชนิดของอาหารให้หลากหลายอยู่เสมอ d.หากไม่สามารถปรับชนิดของอาหารได้ดีนัก หรือเกิดมาเกลียดผัก อาจทานวิตามินรวมเพื่อเสริมส่วนที่เราขาดได้ e.ป้องกันและควบคุมโรคประจำตัวให้ดีโรคที่สร้างปัญหากับตาที่พบบ่อยคือ เบาหวาน ความดัน ไขมันสูงf.หากไม่มีอาการทางตา และอายุถึง 40 ปี ควรตรวจตาสักครั้งหากผลการตรวจปกติ การตรวจอีกครั้ง ขึ้นกับคำแนะนำของแพทย์g.หากมีอาการผิดปกติทางตา ควรตรวจทันทีทีทำได้
บทความจากราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี