สภากาชาดไทยมีการตรวจสุขภาพประจำปีให้เจ้าหน้าที่ทุกปีปีนี้ก็เช่นกัน ได้มีการตรวจสุขภาพประจำปี 2563 เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2563 การตรวจก็จะมีการเอาอุจจาระ ปัสสาวะ มาตรวจ(แจกขวดให้ไปก่อน 2 ขวด) ชั่งน้ำหนัก ส่วนสูง หา BMI (Body Mass Index หรือดัชนีมวลกาย ซึ่งก็คือน้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัมหารด้วยความสูงเป็นเมตรกำลังสอง) วัดรอบเอว ตรวจดูไขมัน กล้ามเนื้อ ทั่วร่างกาย ตรวจเลือดหาเม็ดเลือดขาว แดง เกล็ดเลือด ตรวจไขมันต่างๆ คือ cholesterol, triglyceride, LDL, HDL, glucose (น้ำตาล) HbA1C หรือน้ำตาลสะสม Cr.(การทำงานของไต), Uric (ดูโรคเกาต์), SGOT, SGPT, APการทำงานของตับ ฯลฯ เอกซเรย์ปอด กราฟหัวใจ แล้วจึงพบแพทย์ปีที่แล้วและก่อนๆ พุงผมใหญ่ 97 ซม. แต่ปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 103 ซม.!!(ปกติชายไทยไม่ควรมีพุงเกิน 90 ซม. หญิง 80 ซม.) น้ำหนักผม 83 กก. (แต่วัดทั้งเสื้อกล้าม shirt กางเกง) ซึ่งที่บ้านชั่งในห้องน้ำโดยไม่มีเสื้อผ้า ผมมีน้ำหนักประมาณ 80-81 กก. ส่วนมวลกล้ามเนื้อ ของผมดีพอสมควร แต่มีไขมันในร่างกาย 21.6% หรือ 17.9 กก. มวลกล้ามเนื้อ 61.8 กก. อายุเทียบอัตราเผาผลาญ 62 (อายุผม 77 ปี) ไขมันในช่องท้อง 17 (มากไป)
ผมไม่แปลกใจที่ผมมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น น้ำหนักก่อน 3 เดือนหลังนี้ คือ 76-77 กก. แต่ระยะ 2-3 เดือนที่เพิ่งผ่านไป ผมกินมากขึ้น เดินทางบ่อย ช่วงคริสต์มาสปีใหม่ด้วย น้ำหนักวัดที่บ้านเพิ่มจาก 76-77 เป็น 81 กก. พุงก็เห็นได้ชัดว่าโตมากขึ้น ตั้งใจว่าจะลด แต่ก็ยังไม่ได้ลดเสียที คิดว่าหลังปีใหม่จะต้องเริ่มลดให้ได้ เพราะเป็นคนสอน บรรยายเรื่องการดูแล สร้างเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค ต้องดูแลให้ BMI น้อยกว่า 23, พุงชายหญิงไม่เกิน 90,80 ซม. ตามลำดับ ด้วยการคุมอาหาร ออกกำลังกาย ฯลฯ
แต่ที่ดีอย่างหนึ่งคือ ส่วนสูงผมยังคงที่ คือ 179 ซม. (ปกติพอสูงอายุแล้วความสูงอาจลดลงเนื่องจากกระดูกสันหลังจะย่อตัวลง) และมวลกล้ามเนื้อผมยังดีอยู่ แต่ที่แย่คือน้ำตาล ซึ่งมักจะมีแนวโน้มที่จะสูงอยู่แล้ว สูงขึ้นไปถึง 126 (ขนาดนี้ หรือสูงกว่านี้ ก็เรียกว่าเบาหวานแล้ว) และ HbA1C สูงถึง 6.5 ซึ่งปกติของผมจะอยู่ที่ 6 น้ำตาลจะอยู่ที่ 100 ระดับน้ำตาลที่ 100-126 ถือว่าเป็น prediabetic หรือว่าที่เบาหวาน ซึ่งน้ำตาลระดับนี้ ถึงแม้ยังไม่เป็นเบาหวานเต็มตัว แต่อาจมีพยาธิสภาพของรอยโรคในหลอดเลือดต่างๆ แล้ว
ผลการตรวจสุขภาพครั้งนี้จึงกระตุ้นให้ผมเอาจริงกับการลดน้ำหนักแล้ว อย่างน้อยใน 7 วันนี้ (ณ 3/2/63) ที่ผมลดของกินเล่นระหว่างมื้อ ลดแป้ง ส่วนน้ำตาลผมลดอยู่แล้ว เดี๋ยวนี้ไม่ใส่น้ำตาลแล้วเวลากินชา กาแฟ
ทำไมผมถึงอ้วน ทั้งๆ ที่ผมเดินเฉลี่ยต่อวัน ต่อสัปดาห์ ต่อเดือนต่อปี มาหลายปีแล้ว วันละเกิน 10,000 ก้าว ผมรู้ดีอยู่แล้วว่าออกกำลังกายเท่าใดก็ไม่สามารถลดน้ำหนักหรือคุมน้ำหนักให้อยู่คงที่ได้ถ้าไม่คุมอาหารด้วย เพราะถ้าเรากินขนมปังแผ่นเดียว ถ้าจะต้องเผาผลาญหรือใช้ให้หมด เราจะต้องเดินหรือวิ่ง 1 ไมล์!!
ระยะหลัง ผมกินของว่างระหว่างมื้ออาหารด้วย มีของกินเล่นมากมาย ที่ได้มาจากช่วงปีใหม่ รวมทั้งกินช็อกโกแลตที่บ้านตอนกลางคืนด้วย ผมได้ช็อกโกแลตมามาก รวมทั้งชอบ(และซื้อมาเอง) ช็อกโกแลตที่มีแอลกอฮอล์อยู่ข้างใน ปกติผมจะไม่กินของต่างๆ เหล่านี้เลยแต่ได้มามาก แจกไปก็มาก เก็บไว้ในตู้เย็น บางคืนก็เอามากิน 1 ชิ้นตั้งใจจะกิน 1 ชิ้น แต่พอกินเข้าไปกลายเป็น 3 ชิ้น! โดยเฉพาะช็อกโกแลตที่มีแอลกอฮอล์ข้างใน ชอบมาก
เรื่องอาหาร ถ้าอยู่ที่บ้านก็ไม่ค่อยเท่าไหร่ มักจะเริ่มเป็นซุปผักก่อน แล้วจะมีไก่หรือปลา หรือหมู โดยจะกินผักสดและผัดผักด้วยอย่างมากๆ แต่ถ้าออกนอกบ้าน
เวลากิน กินเต็มที่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นหมูหัน เป็ดปักกิ่งแต่ขาหมูผมเฉยๆ ชอบแต่หนังหมู เนื้อไม่ชอบ ถ้ากินก็กินหนังหมูแต่นิดเดียว ที่ชอบคือ หมูกรอบ สมัยก่อนผมซื้อ 1 ขีดกิน 4 ชิ้นเท่านั้น เดี๋ยวนี้ร้านไม่ขาย 1 ขีดแล้ว ต้องซื้อ 2 ขีดแต่ก็ยังกิน 4-5 ชิ้นเท่านั้น
ฉะนั้นผมจะต้องปรับการออกกำลังกายด้วยการเดินเร็วขึ้น ตอนนี้อาจเดินช้าไปหน่อย หรือวิ่งบ้าง แต่คงออกกำลังกายมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว เพราะผมใช้เวลาออกกำลังกาย 10 นาทีต่อ 1,000 ก้าว 10,000 ก้าวก็ 100 นาที สรุปวันละเกือบ 2 ชั่วโมง ฉะนั้นต้องเร่งความหนักของการออกกำลังกายเท่านั้น เพิ่มเวลาไม่ได้
เพียง 7 วันที่เน้นผักเป็นอาหาร แทบไม่ได้แตะข้าว แป้ง เลย ฯลฯ ท้องไส้ผมรู้สึกสบายขึ้น ปกติผมไม่กินอาหารเช้าอยู่แล้ว แต่หลังสอน (08.00 น.) ถ้าหิว บางวันก็กินโจ๊กหรือเลือดหมูถ้ากินก็ต้องไม่กินข้าวสวย กินแต่เลือดหมู ผมทราบอยู่แล้วว่าอาหารเช้า กลางวัน สำคัญมาก เราต้องกินมาก 2 มื้อนี้ และกินมื้อเย็นเบาๆ แต่มื้อเช้าไม่มีเวลา มื้อกลางวันกินในที่ทำงานส่วนมื้อเย็นมีเวลามากที่สุด
สรุปผมต้องลดข้าว แป้ง เช่น ขนมปัง (กินน้อยอยู่แล้ว) ขนม ของกินเล่น ลงมากๆ เพิ่มปลา ผัก มากขึ้น ไม่กินช็อกโกแลต ไม่กินระหว่างมื้ออาหาร กินอาหารเย็นเร็วขึ้น ร่างกายจะได้มีเวลาเผาผลาญอาหารมากยิ่งขึ้น และถ้าเป็นไปได้เดินหลังอาหาร ที่สำคัญที่สุดคือผมต้องใจแข็ง และผมต้องออกกำลังกายให้หนักขึ้น แต่ระยะเวลาที่ออกกำลังกายเท่าเดิม ตั้งเป้าไว้ว่าจะลดพุงลงให้เหลือ 95 ซม.ก่อน น้ำหนักให้เหลือ75 กก.ก่อน แล้วค่อยว่ากันใหม่ครับ
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี