นวัตกรรม (Innovation) กลายเป็น คำที่มีการกล่าวถึงมากที่สุดในรอบครึ่งทศวรรษที่ผ่านมา โดยเฉพาะการถูกนำมาใช้เป็น “เครื่องมือ” ในการบริหารจัดการตั้งแต่การทำบัญชีครัวเรือน ไปจนถึงระบบอุตสาหกรรมในระดับโลก ซึ่งอาจเรียกได้ว่า ในยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี (Disruption) นวัตกรรม น่าจะเป็นคำตอบที่สำคัญของการดำรงอยู่ขององคาพยพในหน่วยงานหรือธุรกิจต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เว้นแม้แต่กลไกการทำงานของทางภาครัฐเองก็ตาม
ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับความหมายของคำว่า “นวัตกรรม” กันก่อน ซึ่งตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถานพ.ศ. 2554 ได้ให้ความหมายเอาไว้ว่าการกระทำ หรือสิ่งที่ทำขึ้นใหม่ หรือแปลกจากเดิมซึ่งอาจจะเป็นความคิด วิธีการ หรืออุปกรณ์ เป็นต้น และบ่อยครั้งที่คนอาจจะเข้าใจผิดว่า นวัตกรรมจำเป็นที่จะต้องเป็นอะไรที่ซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี แต่ในความเป็นจริงแล้วหากนวัตกรรมมีความซับซ้อนมากจนเกินไป ไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของคน หรือยากต่อการนำไปใช้นวัตกรรมเหล่านั้นก็จะสูญเปล่า และไม่สามารถนำไปใช้ได้จริง ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่นวัตกรรมจะต้องสอดคล้อง (Synchronize) กับวิถีชีวิตของประชาชน
ปัจจุบันมีการนำนวัตกรรมมาใช้ในภาคเอกชนจำนวนมากเพื่อเพิ่มความสะดวกในการให้บริการ และบริหารจัดการของภาคเอกชน เช่นเดียวกันกับนวัตกรรมภาครัฐที่มีการนำวิธีการใหม่ๆ มาใช้แก้ปัญหาเดิมๆ เพื่อช่วยเหลือด้านการบริการสาธารณะอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน แก้ปัญหาการบริหารจัดการของภาครัฐ และพัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชน และอาจจะหมายถึงการพัฒนาแนวคิดใหม่ๆ เป็นนโยบาย หรือพัฒนาแนวความคิดเดิมให้ดียิ่งขึ้นด้วยเช่นกัน
ดังนั้น เมื่อเราเข้าใจตรงกันเช่นนี้แล้ว ก็ถึงเวลาไปทำความรู้จักกับ “นวัตกรรม” กันอย่างถึงแก่น โดยเฉพาะความสำเร็จมากมายที่เกิดขึ้น ภายหลังจากมีการนำมาทดลองใช้ในการขับเคลื่อนระบบของทางภาครัฐ จากตัวอย่างที่น่าสนใจของหลายๆ ประเทศ
เริ่มกันที่ “ข้อดี” ของนวัตกรรม แน่นอนคำตอบแรกคือ การอำนวยความสะดวก นี่เองเป็นจุดประสงค์หลักที่ภาคเอกชนให้ความสนใจต่อนวัตกรรมเป็นอย่างมาก เพราะมันทำให้ผลลัพธ์ที่ต้องการอาจจะเท่าเดิมหรือเพิ่มมากขึ้น แต่ผ่อนแรงผ่อนเวลา และมีอัตราความผิดพลาดที่น้อยลงด้วยเหตุนี้แหละที่ทำให้ฝ่ายบริหารของรัฐบาลทั่วโลกเกิดความสนใจที่จะนำนวัตกรรมเข้ามาใช้เพื่อการบริหารจัดการในระบบต่างๆ ของทางภาครัฐ เพื่อแก้ปัญหาด้านความล่าช้า ซับซ้อน และผิดพลาด รวมไปถึงการเพิ่มขีดจำกัดของการพัฒนารูปแบบการบริการประชาชนให้เกิดความสะดวกสบายที่มากยิ่งขึ้นและคาดหวังไปถึงผลสัมฤทธิ์จากผลลัพธ์ต่างๆ ที่มีประสิทธิภาพกว่าที่ผ่านมา
ใน “ประเทศแคนาดา” นวัตกรรมถูกนำมาใช้เป็นหนทางในการจัดการกับ “ปัญหารายจ่ายด้านสาธารณสุข” ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเรื่องนี้เป็นปัญหาที่รัฐบาล
ทั่วโลกกำลังเผชิญหน้าและพยายามหาคำตอบที่สมบูรณ์ที่สุดกันอยู่
แต่ “Carrot Reward” คือทางออกของแคนาดาต่อปัญหานี้ เมื่อรัฐบาลได้จับมือกับเอกชนเพื่อออกแอพพลิเคชั่น (Application)นี้ขึ้นมา โดยเป็นการผสนผสานกันระหว่างการเล่นเกมกับการบันทึกข้อมูลด้านสุขภาพของผู้ใช้งาน นั่นก็คือประชาชนชาวแคนาเดี้ยน (Canadian) พวกเขาจะสามารถจัดตารางในการดูแลสุขภาพของตัวเองผ่านแอพพลิเคชั่นตัวนี้ ไม่ว่าจะเป็นการเดิน การวิ่ง การนอนการกิน หรือแม้แต่การทำสมาธิ ซึ่งจะมีข้อมูลคอยกำกับปรากฏขึ้นเป็นคำแนะนำของกิจกรรมต่างๆ รวมถึงการตั้งเป้าหมายและสถิติในการสร้างแรงจูงใจในการทำกิจกรรมนั้นๆ หรือบริหารพฤติกรรมนั้นๆ ตามความตั้งใจ เพื่อที่จะนำข้อมูลที่สะสมต่างๆ มาแลกรับของรางวัลหรือสิทธิพิเศษใดๆ ที่ทางภาครัฐร่วมกับเอกชนได้จัดเตรียมการเอาไว้นี่เองที่ทำให้ประชาชนหันมาใส่ใจในการดูแลสุขภาพของตัวเองมากขึ้น พร้อมๆ กับที่รัฐบาลก็ได้ข้อมูลเรื่องสุขภาพและพฤติกรรมแวดล้อมเกี่ยวกับการบริหารจัดการสุขภาพของประชาชนมาวิเคราะห์เป็นแนวทางในการบริหารจัดการนโยบายทางสุขภาพให้ตอบโจทย์ประชาชนได้ตรงใจขึ้น รายจ่ายจากทางภาครัฐที่ต้องเสียไปกับการรักษาอาการป่วยก็จะลดลง นี่คือผลลัพธ์ที่งดงามจากการนำนวัตกรรมมาใช้ร่วมกับหน่วยงานรัฐ
เช่นเดียวกับที่ “เมืองอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์” ซึ่งมีปัญหาในเรื่องความหนาแน่นของเมือง ดังนั้น ในการเช่าพื้นที่แต่ละครั้งในการจัดงานต่างๆ หรือประชุมของภาคประชาสังคม จึงมีรายจ่ายที่สูงมาก (รวมไปถึงค่าอินเตอร์เนตและเครื่องดื่มที่แพงลิบ) นี่เองที่ทำให้หน่วยงานของเมืองได้หยิบแนวคิด “เศรษฐกิจแบ่งปัน” (Sharing Economy)ขึ้นมาใช้ ด้วยการนำเสนออาคารหรือห้องของบางหน่วยงานจากทางภาครัฐที่ไม่ได้ทำการใช้งานในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ หรือหลังเวลาราชการ (ในวันธรรมดา) อาทิ ห้องประชุมของโรงเรียน เป็นต้น มาเข้าสู่โครงการเพื่อให้ภาคประชาสังคมสามารถเข้ามาขอใช้พื้นที่ได้ โดยจะต้องบริหารจัดการเรื่องความสะอาด และค่าใช้จ่ายในส่วนของอุปโภคบริโภคเองเท่านั้น ซึ่งกระบวนการเช่นนี้ก็ไปคล้ายกับที่ประเทศอังกฤษ ที่เชื่อมโยงสื่อสารกันผ่าน https://www.comoodle.com/ เพื่อเป็นส่วนกลางในการแบ่งปันพื้นที่ ของใช้ หรือทักษะต่างๆ แก่เพื่อนบ้านในแต่ละชุมชน
อีกประเทศที่มีการนำนวัตกรรมมาใช้กับปัญหาสิ่งแวดล้อมก็คือ “ออสเตรเลีย” ด้วยความที่ต้องเผชิญกับภัยธรรมชาติอยู่บ่อยครั้ง ตามสภาพภูมิประเทศของแต่ละพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วม พายุร้อน หรือไฟป่า(ที่เกิดขึ้นล่าสุด) ซึ่งได้สร้างความสูญเสียทางทรัพยากรธรรมชาติเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น พันธุ์ไม้หายาก หรือสัตว์ป่าอนุรักษ์ ดังนั้น ทางการออสเตรเลียจึงทำการรับมือกับภัยธรรมชาติอย่างเต็มศักยภาพ ด้วยการนำระบบการเรียนรู้ (Machine Learning)ของปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) มาแทนแรงงานคนในการป้อนข้อมูลจากภาพ ผ่าน “โปรแกรมแผนที่” ซึ่งทำหน้าที่ในการประเมินการใช้พื้นที่และสำรวจตรวจตราการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในแต่ละพื้นที่ แน่นอนว่า นวัตกรรมที่นำเข้ามานั้น ก็ทำให้การป้อนข้อมูลต่างๆ ละเอียดและมีความแม่นยำมากขึ้น ที่สำคัญ ย่นระยะเวลาในการจัดทำจาก 30 ปีลงมาเหลือเพียงแค่ 1 ปีเท่านั้น ทำให้ความพร้อมในการรับมือภัยทางธรรมชาติของออสเตรเลียในเวลานี้มีมากยิ่งขึ้นกว่าในอดีตนัก
สำหรับมหาอำนาจแห่งเทคโนโลยีอย่าง “สหรัฐอเมริกา” ก็ไม่น้อยหน้า ได้เอานวัตกรรมเข้ามาช่วยสร้างโอกาสให้กับ “พลเมือง” ที่มีประวัติอาชญากรรม ในคดีที่มีอัตราโทษต่ำ และผู้ต้องหาได้รับโทษมาแล้ว ด้วยการทำแอพพลิเคชั่นที่ชื่อ“Clear My Record” ขึ้นมา เพื่อลดภาระด้านเอกสารจำนวนมากแก่ศาล และอำนวยความสะดวกแก่ผู้ที่มีประวัติอาชญากรรม และเคยรับโทษตามเงื่อนไข ซึ่งสามารถลบประวัติอาชญากรรมในบันทึกของกระบวนการยุติธรรมได้ (จากเมื่อก่อนที่กระบวนการมีความยุ่งยากและซับซ้อน) ด้วยการใช้ “ระบบของอัลกอริทึ่ม” เข้ามาร่วมในการตรวจสอบและบันทึกข้อมูล ตรงนี้ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าทำงาน หรือขอใบอนุญาตต่างๆ จากทางภาครัฐหรือเอกชน สำหรับบุคคลที่เคยต้องโทษได้มากยิ่งขึ้น (อยู่ในเงื่อนไขลบประวัติ)
และตัวอย่างสุดท้าย ก็ที่ “ไต้หวัน” ซึ่งไม่ต่างจากหลายประเทศที่ปัญหา “สังคมสูงวัย” กำลังเกิดขึ้น ประชากรที่มีอายุมากกว่า 65 ปี มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อการดูแลที่ดี และป้องกันการสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น ไต้หวันจึงทำการแจก “บัตรห้อยคอ” และ “นาฬิกาข้อมือ” ซึ่งเป็นนวัตกรรมในการระบุพิกัดของผู้สวมใส่ได้ว่า อยู่ตรงบริเวณไหน และกำหนดสัญญาณเตือนไปยังผู้ดูแลได้ด้วยว่า ผู้สวมใส่ออกนอกบริเวณที่กำหนดเอาไว้ (มีสัญญาณเตือนดังขึ้น) รวมไปถึงการเชื่อมโยงไปยังข้อมูลส่วนตัวของบุคคลผู้นั้นจากข้อมูลส่วนกลางจากทางภาครัฐได้อีกด้วย ตรงนี้ก็ทำให้คดีคนหาย ซึ่งเกิดจากการหลงทางหรือหลงลืมที่มีเป็นจำนวนมากปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว
ทั้งหมดเป็นเพียงส่วนหนึ่ง (ส่วนเล็กๆ) ของนวัตกรรมภาครัฐ ที่เกิดขึ้นมาแล้วบนโลกใบนี้ ประเทศไทยของเราก็มีความตั้งใจในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน ซึ่ง “หัวใจสำคัญ”ที่ต้องหาให้เจอก็คือ อะไรคือสิ่งที่ประชาชนจะได้ประโยชน์จากการนำนวัตกรรมเหล่านั้นมาใช้ เป็นกำลังใจให้ค่ะ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี