เป็นที่น่ายินดีมากที่ผลการประกาศ Global Health Security Index หรือดัชนีความมั่นคงทางสุขภาพของประเทศต่างๆ ในโลกประเทศไทยได้คะแนน 75.5% สูงสุดเป็นที่ 6 ของโลก โดยที่ 1 ถึง 10 มีดังต่อไปนี้ ตามลำดับ สหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร,เนเธอร์แลนด์, ออสเตรเลีย,แคนนาดา, ไทย, สวีเดน, เดนมาร์ก, เกาหลีเหนือ และฟินแลนด์
ทุกประเทศที่ได้ลำดับต่างๆ ตามข้างบนนี้ผมไม่แปลกใจ ที่แปลกใจหน่อยคือ สหรัฐอเมริกาได้ที่ 1 เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าถึงแม้อเมริกาใช้งบประมาณจำนวนมากสำหรับทางด้านสุขภาพ กล่าวคือ ในปี ค.ศ.2017 ได้ใช้งบประมาณถึง 3.5 ล้านล้านเหรียญอเมริกา หรือ 18% ของ GDP มากกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศที่พัฒนาแล้วกว่า 2 เท่าซึ่งในจำนวนยอดเงินนี้ 1.5 ล้านล้าน มาจากรัฐบาลไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม แต่ยังมีประชาชนอีกมากที่ยังไม่มีหลักประกันสุขภาพ ผมไม่ค่อยแปลกใจที่ประเทศไทยได้ที่ 6 เพราะทราบมานานแล้วว่า ประเทศไทยมีระบบการดูแลสุขภาพที่ดีเป็นที่ยอมรับ ยกย่อง เชิดชู ของประเทศต่างๆ ในแง่ที่ว่าใช้งบประมาณนิดเดียว แต่ทำได้ถึงขนาดนี้ ต้องยอมรับว่าประเทศไทยเราในอดีตได้มีความคิดริเริ่มที่ดี มาถูกทาง วางแผนไว้ดี ด้วยการส่งเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขไปเรียนต่อยังสถาบันการแพทย์ สาธารณสุขต่างๆ ที่ดังของอังกฤษ และอเมริกาทางด้านสาธารณสุข ที่ปัจจุบันนี้ทำงานทางด้านนี้อย่างมีผล ประเทศไทยเราในปี ค.ศ.2017 ใช้เงินเพียง 17.055 ล้านเหรียญ (ปี ค.ศ.2003 ใช้ 4,939 ล้านเหรียญ หรือเพิ่มขึ้นปีละ 9.46%) ถ้าคิดเป็นส่วนของ GDP ในปี 2015 คือ 3.76% ของ GDP เท่านั้นที่เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับสุขภาพ
จากมุมมองของผมทางด้านสาธารณสุขที่ดูกว้างๆ ในฐานะอาจารย์แพทย์คนหนึ่ง ที่เคยเป็นเลขาธิการแพทยสภา 4 ปีนายกแพทย์ระบบทางเดินอาหาร ประธานราชวิทยาลัยอายุรแพทย์สมาชิกวุฒิสภาทางด้านสาธารณสุข (2551-2554) และหลังจากนั้นจนบัดนี้ 2563 ยังเป็นที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการการสาธารณสุขและอื่นๆ ที่วุฒิสภา ที่ได้เคยออกไปบรรยาย เยี่ยม รพ.ศูนย์ รพ.ทั่วไป มาทุกจังหวัดแล้ว และทุก รพ.ชุมชนของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 5 อำเภอของสงขลาที่มีปัญหา ผมมีความเห็นดังนี้
ประเทศไทยยังมีการขาดแคลนแพทย์ทั่วทุกจังหวัด (พูดเฉพาะแพทย์ แต่ทันตแพทย์ พยาบาล และวิชาชีพอื่นๆ ก็ขาดด้วยกันทั้งนั้น) ไปเยี่ยมที่ไหนก็ขาดแพทย์ทางด้านโน้น ด้านนี้ ขาดทุกสาขา บางสาขามากกว่าสาขาอื่นๆ บางจังหวัดมีผู้เชี่ยวชาญสาขาหนึ่งสาขาใดคนเดียว ทำให้ รพ.ที่มีแพทย์เฉพาะทาง หรือทั่วไป ที่อยู่คนเดียว ต้องทำงานยาก เหนื่อยมาก ใน รพ.ศูนย์ ทั่วไป หรือชุมชนขนาดใหญ่ ยังขาดทั้งแพทย์ทั่วๆ ไป และแพทย์เฉพาะทาง เช่น ในสาขาอายุรศาสตร์ ซึ่งมีอนุสาขาย่อยเกือบ 20 สาขา เช่น หัวใจ ปอด เลือด ภูมิแพ้มะเร็ง ระบบทางเดินอาหาร ต่อมไร้ท่อ ฯลฯ เราจะต้องหาความพอดีของการมีอายุรแพทย์ที่ดูแลทุกโรคทางอายุรศาสตร์ และของการมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางสาขาย่อยต่างๆ ปัจจุบันนี้มีผู้เรียนอนุสาขาย่อยของอายุรศาสตร์มากขึ้น และจะเชี่ยวชาญเฉพาะทางมากขึ้น เช่น แพทย์หัวใจ จะเก่งเรื่องหัวใจ แต่พอทำไปนานๆ ความรู้ ความชำนาญทางโรคอายุรศาสตร์อื่นๆ จะน้อยลงตามธรรมชาติ ฉะนั้นการที่เขาจะดูผู้ป่วยที่เป็นโรคสาขาอื่นๆ นอกเหนือจากหัวใจ อาจจะเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะตอนแพทย์มีอายุมากขึ้น
ฉะนั้นความคิดตอนนี้ คือ เราควรจะต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางอายุรศาสตร์ ที่พอจบ Board (เทียบเท่า ป.เอก ทางการดูแลผู้ป่วย) อายุรศาสตร์ อาจเรียนสูงขึ้นทางอายุรศาสตร์อีกระยะหนึ่ง ให้มีความรู้ทางด้านอายุรศาสตร์ทั่วๆ ไปแน่นจริงๆ แล้วให้เป็นผู้ดูผู้ป่วยทางด้านอายุรศาสตร์ทั้งหมด และจะส่งให้ผู้เชี่ยวชาญทางสาขาเฉพาะทางเท่าที่จำเป็นจริงๆ ไม่ว่าจะผู้ป่วยทางด้านอะไร เช่น หัวใจ ปอด ฯลฯ และให้ผู้เชี่ยวชาญทางอนุสาขา(โดยเฉพาะตอนมีอายุมากขึ้น) ทำเฉพาะด้านที่ตนเองชำนาญ
ยังมีต่ออีกครับ เช่น เรื่องการบริการสาธารณสุขปฐมภูมิ ฯลฯ
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี