ในขณะที่ทั่วโลกกำลังเผชิญกับการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่(COVID-19) ที่ตอนนี้ได้สร้างความตื่นตัวเป็นอย่างมากต่อรัฐบาลในแต่ละประเทศ สำหรับการวางนโยบายในการป้องกันหรือยับยั้งการระบาดเป็นวงกว้างของประชาชนในแต่ละประเทศนั้นๆ หนึ่งในมาตรการการรับมือที่หลายประเทศได้ประกาศใช้เพื่อชะลอการระบาดก็คือ“การสนับสนุนให้คนทำงานที่บ้านมากขึ้น” หรือ Work from Home ซึ่งเป็นการสร้าง “การเพิ่มระยะห่างในการเข้าสังคม” (Social Distance) ให้มากยิ่งขึ้น ตรงนี้ก็จะช่วยในการลดการเดินทางออกจากบ้าน และโอกาสในการพบปะกับคนจำนวนมาก ในการดำเนินชีวิตปกติสำหรับคนทำงานทั่วไปก่อนหน้านี้
ในประเทศไทยเอง ทั้งภาครัฐและเอกชนก็ได้เริ่มบังคับใช้มาตรการการทำงานที่บ้านกันแล้ว แต่ก็ยังคงขึ้นอยู่กับความสมัครใจและความพร้อมของหน่วยงานต่างๆ โดยแต่ละหน่วยงานนั้นก็จะมีรูปแบบการบริหารจัดการการทำงานที่บ้านที่แตกต่างกันออกไป ตามนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีที่เลือกนำมาใช้ในการอำนวยความสะดวก
หากเรามองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์การทำงานที่บ้านนั้น ต้องบอกว่า ไม่ใช่เรื่องใหม่ น่าจะเกิดขึ้นมาตั้งแต่ “สมัยมนุษย์ยุคหิน” (Stone Age)ที่สภาพแวดล้อมการทำงานเกิดขึ้นภายในบริเวณที่พวกเขาให้นิยามกันว่าบ้าน รวมไปถึงการแลกเปลี่ยนที่พัฒนามาเป็นการค้าขาย และกลายมาเป็นร้านค้าต่างๆ ก็เกิดขึ้นภายในบริเวณบ้านนั่นแหละ มาจนถึงช่วงของ “การปฏิวัติอุตสาหกรรม” (Industrial Revolution)วิถีชีวิตก็ได้เปลี่ยนไป ทำให้คนต้องเดินทางออกมาทำงานนอกบ้านมากขึ้น จวบจนมาถึงปัจจุบัน การดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยทำให้การทำงานที่บ้านในยุคนี้กลายเป็นเรื่องใหม่และท้าทายอย่างมาก แต่ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีด้านการสื่อสาร และการบริหารจัดการในช่วงระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ก็ทำให้การทำงานที่บ้านนั้นสะดวกและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อเป็นฐานข้อมูลอันจะเป็นประโยชน์ต่อสถานการณ์ปัจจุบันที่โลกให้ความสนใจต่อ Work from Home (การทำงานจากที่บ้าน) จากการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ จึงถือเป็นโอกาสในการบอกเล่าถึงแอพพลิเคชั่นที่จะช่วยให้การทำงานที่บ้านเกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้
มาเริ่มต้นกันด้วยแอพพลิเคชั่นสำหรับช่วยในการเก็บข้อมูล ส่งข้อมูล และแชร์ข้อมูล ได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นที่คุ้นเคยกันดีอยู่แล้วสำหรับผู้อ่านหลายๆ ท่านกับ “Google Drive” หรือ “Dropbox” รวมไปถึง “Box” ซึ่งทั้งสามแอพพลิเคชั่นนี้ทำหน้าที่เหมือนกัน คือการเก็บรักษาข้อมูลต่างๆ เพื่อการส่งต่อ (โดยใช้พื้นที่บนระบบ
ออนไลน์เป็นเสมือนโกดัง พร้อมด้วยการบริการโลจิสติกส์ หรือการขนส่งข้อมูลไปยังปลายทางที่เราต้องการ) ซึ่งแต่ละแบบนั้นจะมีการใช้งาน (Interface) ที่ไม่ต่างกันมากนักขึ้นอยู่กับความคุ้นเคยของผู้ใช้บริการ ส่วนเรื่องของค่าใช้จ่ายในการเช่าพื้นที่ ถ้าใช้พื้นที่ไม่เยอะจะมีบริการฟรีอยู่แล้ว (ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าบริการไหนจะให้พื้นที่ฟรีแรกเริ่มมากกว่ากัน)แต่สำหรับการใช้พื้นที่จำนวนมากในการเก็บข้อมูล แอพพลิเคชั่นทั้งสามก็มีทางเลือกสำหรับธุรกิจเอาไว้ตามขนาดที่ต้องการอยู่แล้ว ยิ่งใช้พื้นที่มากค่าใช้จ่ายก็จะสูงขึ้นตามความจุของข้อมูล
แอพพลิเคชั่นต่อมาสำคัญมากๆ สำหรับการเจรจาธุรกิจ เพราะเป็นแอพพลิเคชั่นในการสื่อสารที่สามารถช่วยในการคุยงานประชุม หรือการอบรมสัมมนาได้อย่างสะดวกผ่านภาพเคลื่อนไหว (Video) ที่สามารถรองรับผู้เข้าใช้งานได้พร้อมกันหลายคน อาทิZoom, BlueJeans, Skype หรือ WebExซึ่งแต่ละแอพพลิเคชั่นก็จะมีข้อกำหนดตามความเหมาะสมของจำนวนคนในกลุ่มการประชุม เช่น ถ้าจำนวนผู้เข้าร่วมประชุมไม่เกิน 200 คน และต้องการแสดงภาพเคลื่อนไหวของผู้เข้าร่วมประชุมได้พร้อมกันไม่เกิน 6 คน แอพพลิเคชั่นอย่าง Skype ซึ่งเป็นอันดับต้นๆ ในการบุกเบิกรูปแบบการสื่อสารในเรื่องของ Video Call นั้น นับว่ายังสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่หากว่าจำนวนผู้ร่วมประชุมมีมากถึง 1,000 คนและต้องการแสดงภาพเคลื่อนไหวของผู้เข้าร่วมประชุมได้พร้อมกันถึง 49 คน อาจต้องเปลี่ยนมาใช้แอพพลิเคชั่น Zoom แทนที่สำคัญทุกๆ แอพพลิเคชั่นดังที่ได้เสนอมานี้ ผู้เข้าร่วมการประชุมทุกคนจะสามารถแสดงความเห็นของตนเองผ่านการพูดหรือการส่งข้อความได้เหมือนกันหมด นับว่าเป็นการนำนวัตกรรมมาใช้เพื่อทำลายข้อจำกัดด้านเวลาและการเดินทางที่มีประสิทธิภาพเป็นอย่างยิ่ง
ส่วนในเรื่องของการส่งข้อความ(Message) หากันนั้น โดยทั่วไปแล้วแอพพลิเคชั่นอย่าง Line นับว่าเป็นแอพพลิเคชั่นที่มีจำนวนผู้ใช้งานสูงสุดในประเทศไทย และสามารถแบ่งออกไปเป็นกลุ่มเฉพาะสำหรับสื่อสาร (Chat) ได้ แต่ในการทำงานที่จำเป็นจะต้องมีการส่งไฟล์ต่างๆ เพื่อแสดงความคืบหน้า (Update) ผ่านการเชื่อมข้อมูลตรงจากคลังเก็บข้อมูลอย่าง Google Docs และ Dropbox อาจต้องเปลี่ยนมาใช้แอพพลิเคชั่นอย่าง Slack แทน เพราะนอกจากการแชร์ข้อมูล และการเชื่อมฐานข้อมูลตรงแล้ว เจ้า Slack ยังสามารถสร้างห้องสนทนาแบบกลุ่มย่อย และสามารถรองรับจำนวนสมาชิกได้ไม่จำกัด ที่สำคัญ แอพพลิเคชั่นตัวนี้สามารถเปิดใช้งานได้ผ่านทั้งคอมพิวเตอร์ และโทรศัพท์มือถือทั้งสองระบบ (IOS และ Android) ถือว่าครอบคลุมในทุกอุปกรณ์สื่อสาร (Device)
สำหรับการสื่อสารกันภายในทีมและการแบ่งงานที่ชัดเจน ก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่สำคัญในการทำงานร่วมกันเป็นทีม แอพพลิเคชั่นอย่าง Trello ก็เป็นหนึ่งในแอพพลิเคชั่นที่สามารถช่วยให้การทำงานเป็นทีมมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดย Trello จะมีกระดานซึ่งผู้ใช้งาน(User) สามารถเพิ่มรายการที่ต้องทำในแต่ละโครงการและรายละเอียดของโครงการด้วยข้อความ รูปภาพ หรือไฟล์งาน และผู้ใช้งานสามารถกดเลือกมอบหมายงานเพื่อให้สมาชิกในทีมแต่ละคนได้ทราบ ว่าใครกำลังทำหน้าที่อะไรเพื่อไม่ให้เกิดการทำงานซ้อนทับกัน จากนั้นเมื่อทำงานเสร็จแล้ว สมาชิกในทีมยังสามารถส่งไฟล์งานและข้อความสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ร่วมงานคนอื่นๆ ได้อีกด้วย แถมยังสามารถตั้งเตือนวันกำหนดส่งงานในแต่ละหน้าที่ของสมาชิกในทีม เพื่อช่วยติดตามการทำงานของแต่ละคนได้อย่างแม่นยำ ตรงนี้ก็จะทำให้การประสานงานสำหรับโครงการ(Project) หรืองานวิจัยใดๆ ที่ต้องขับเคลื่อนด้วยทีมงานจำนวนมาก สามารถที่จะรู้เป้าหมายและสัดส่วนในงานของตัวเองที่ได้รับมอบหมาย รวมไปถึงการสร้างระบบทีมเวิร์กในการทำงานก็จะสามารถเกิดขึ้นเองโดยปริยาย เมื่อเทคโนโลยีกลายเป็นส่วนกลางในการแสดงความคืบหน้า การประสาน และการประเมินกลายๆ สำหรับงานที่ต้องทำกันในรูปแบบทีม
ท้ายที่สุด ก็หวังว่า แอพพลิเคชั่นต่างๆ เหล่านี้ จะช่วยทำให้การบริหารจัดการการทำงานที่บ้าน และการเชื่อมโยงการสื่อสารกันระหว่างคนภายในองค์กรเกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และเหมาะสมกับบริบทการทำงานที่จะนำไปปรับใช้
และเชื่อเหลือเกินว่า ถ้าหลายๆ องค์กรเริ่มทดลองการทำงานที่บ้านในช่วงของการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ แล้วประสบความสำเร็จในการบริหารจัดการด้วยการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาใช้ ในอนาคตอันใกล้ น่าจะตัดสินใจเปลี่ยนรูปแบบการทำงานแบบ Work from Home ในระยะยาวอย่างแน่นอน เพราะการทำงานจากที่บ้านนอกจากจะช่วยประหยัดค่าไฟ ค่าเช่าออฟฟิศ และช่วยประหยัดเวลาในการเดินทางแล้ว งานวิจัยของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด (Stanford University) ยังได้พิสูจน์แล้วว่า การทำงานจากที่บ้านนั้น มีประสิทธิภาพมากกว่าการทำงานจากที่ออฟฟิศ และนี่น่าจะเป็นอีกสิ่งที่ยืนยันได้ว่า ภายใต้วิกฤติยังมีโอกาส เพราะถ้าไม่มีการแพร่ระบาดของไวรัส การทำงานจากที่บ้านก็คงยังไม่ได้นับหนึ่งกันสักที
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี