ท่านเคยคิดหรือไม่ว่าชีวิตของท่าน ของทุกๆ คนนั้น เต็มไปด้วยความเสี่ยงต่างๆ มากมาย ถ้าท่านลองคิดดีๆ ทุกท่านจะเห็นด้วยกับผมแน่
ตั้งแต่เราเกิดขึ้นมาอยู่บนโลกใบนี้ ท่านจะเผชิญกับความเสี่ยงต่างๆ ตั้งแต่เกิด โดยหลังจากเกิด คุณพ่อคุณแม่ (และคุณหมอพยาบาลต่างๆ ที่กำลังเป็นฮีโร่ต่อต้านโควิด-19 ให้พวกเราอยู่ในขณะนี้)ต้องดูแลรักษาเราให้แคล้วคลาดจากภัยอันตรายทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นโรค หรืออุบัติเหตุ ท่านทราบหรือไม่ว่า 100 ปีขึ้นไปที่ผ่านมา ท่านมีโอกาสที่จะเสียชีวิตมากที่สุดในอาทิตย์แรก เดือนแรก ปีแรกหลังเกิดถึงแม้ปัจจุบันนี้ก็ตาม ประเทศที่กำลังพัฒนาทั้งหลาย ก็ยังมีอัตราการเสียชีวิตสูงในช่วงปีแรกหลังเกิด แพทย์ทางด้าน neonatal (ภายใน 1 เดือนหลังเกิด ฯลฯ) ยังหาได้ยากในประเทศไทย และหลายๆ ประเทศ แพทย์น้อย “cubicl” หรือกล่องที่จะเอาเด็กแรกเกิดที่มีปัญหาเข้าไปอยู่ก็ยังมีน้อย
หลังเราเกิดทันที โอกาสที่จะเสียชีวิตจากโรคต่างๆ มีมากโชคดีที่สมัยนี้มีวัคซีนป้องกันโรคต่างๆ มากมาย เช่น โปลิโอ บาดทะยัก คอตีบ ไอกรน เชื้อไวรัสตับอักเสบบี, เอ ฯลฯ แต่กระนั้นยังมีชนกลุ่มหนึ่งที่ไม่ยอมไปฉีดวัคซีน (vaccine hesitancy) แต่ผมคิดว่าหลังจากโควิด-19 คงจะมีคนยอมไปฉีดวัคซีนต่างๆ มากขึ้นเพราะความรู้ทางด้านวัคซีนจะมีมากขึ้นอีกมาก อย่างเช่นในขณะนี้ทุกประเทศกำลังเร่งผลิตวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 กันอย่างเต็มที่การผลิตวัคซีนไม่ใช่ง่ายๆ ตามปกติจะใช้เวลาผลิตประมาณ 5 ปี โรคบางโรคยังผลิตไม่ได้เลย เช่น เชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดซี หรือ viral hepatitis C และเชื้อ HIV หรือเชื้อที่ทำให้ภูมิคุ้มกันบกพร่อง นี่ขนาดแพทย์ นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก พยายามผลิตยังผลิตไม่ได้ แม้แต่ไข้หวัดใหญ่ หรือ influenza ถึงแม้ผลิตได้ แต่เชื้อเปลี่ยนไปทุกปี เราก็ต้องผลิตวัคซีนใหม่ที่เหมาะสมทุกปี วัคซีนสำหรับโควิด-19 น่าจะประสบความสำเร็จในการผลิต เพราะผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกต่างก็เร่งการผลิตกันอย่างเต็มที่ รวมทั้ง Bill Gates ต่างก็ทุ่มเงินให้สำหรับการผลิตวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ฉะนั้นผมจึงคิดว่าน่าจะสำเร็จ และน่าจะสำเร็จก่อนปลายปี 2564 ซึ่งก็ถือว่าเร็วมากแล้วครับ
นอกจากเด็กๆ ที่แรกเกิดมีความเสี่ยงต่อโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ แล้ว เด็กแรกเกิดยังมีความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุต่างๆ ด้วย เช่น สำลักอาหารอะไรติดคอ ตกจากที่สูง ฉะนั้นจึงเป็นหน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่ที่จะดูแลเราให้อยู่รอดไปจนโต นี่เป็นเหตุผลว่าเราควรจะเคารพรัก เทิดทูนมีความกตัญญูต่อคุณพ่อคุณแม่เรา เพราะเป็นที่รู้กันว่า ท่านทั้งสองอดหลับอดนอน เหนื่อยยากเพียงไหน ที่ต้องดูแลเราอย่างใกล้ชิดกว่าเราจะโตได้
หลังจากที่เรามีชีวิตรอดไปได้ คราวนี้ก็จะเต็มไปด้วยความเสี่ยงในช่วงต่างๆ เช่น ความเสี่ยงของการเข้าโรงเรียนอนุบาล ซึ่งสมัยนี้บางแห่งต้องสอบ สอบเข้าโรงเรียนประถม มัธยม มหาวิทยาลัย สรุปก็คือ ต้องบริหารความเสี่ยงให้มีโอกาสเรียน ขยันเรียน เรียนเป็น เรียนต่อเนื่อง ตลอดเวลา เพื่อให้เราสอบได้ดี ถ้าเราเรียนเก่ง เรียนเป็น เราก็จะมีโอกาสเข้าเรียนโรงเรียน มหาวิทยาลัยที่ดี ถ้าคะแนนดีก็จะมีสิทธิ์เลือกเรียนวิชาที่ตลาดต้องการ ที่มีรายได้ดี
หลังเรียนจบ เราก็จะต้องบริหารความเสี่ยงเก่งในการหางานที่ดีทำ จะต้องเก่งพูด หรือเขียนประวัติของเราเก่งในการสมัครเข้าทำงาน ยังมีคนอีกมากที่เขียนประวัติหรือ curriculum vitae (CV) ของตนเองไม่เป็น จะต้องรู้ว่าผู้อ่าน ผู้บริหารของบริษัท หรือหน่วยงานต่างๆ เขาต้องการอะไร เขาจะดูอะไร ใน CV เมื่อเริ่มทำงานแล้วก็มีความเสี่ยงอีกที่อาจจะโดนไล่ออก หรือไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร จะมีความเสี่ยงต่อการคบคน หาเพื่อนที่ดี ไม่ดี หาคู่ชีวิตที่ดี ไม่ดี และในช่วงที่เริ่มต้นทำงาน จากเงินเดือนเดือนแรกที่ได้รับ ต้องรู้จักบริหารความเสี่ยงเพื่อไม่ให้เราจน อดตาย ตอนเกษียณ หรือดีกว่านั้น ให้เราบริหารความเสี่ยงเรื่องการเงิน จนเรารวยก่อนแก่ รวยก่อนเกษียณ และอาจเกษียณตนเองได้ตั้งแต่อายุ 50 ปี เพราะเรามีอิสรภาพทางการเงินแล้ว ฯลฯ
เราต้องบริหารความเสี่ยงเก่ง จนเราสามารถเจริญเติบโตในหน้าที่การงานได้ดีพอสมควร และบริหารความเสี่ยงเก่งในชีวิตสมรสเลือกคู่ชีวิตได้เหมาะสมที่สุด ในการดูแลลูกๆ เราให้เจริญเติบโต ปลอดจากภัยอันตรายเหมือนที่คุณพ่อคุณแม่เราดูแลเรามา
และเราต้องบริหารความเสี่ยงเรื่องสุขภาพ เราต้องมีสุขภาพที่ดี แข็งแรง มีคุณภาพชีวิตที่ดีจนถึงวาระสุดท้าย เราต้องไม่เป็นโรคที่ป้องกันได้ ซึ่งก็คือ โรคที่ไม่ติดต่อ หรือโรคที่เรื้อรัง ที่เกิดจากพฤติกรรมที่ไม่ดีของเรา ที่ทำมาตลอดเวลาอันยาวนานตั้งแต่เด็กโรคต่างๆ เหล่านี้ คือ โรคที่แพทย์เรียกว่า NCDs หรือ non communicable diseases ซึ่ง WHO บอกว่าเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของชาวโลกถึง 70% ของการเสียชีวิตทั้งหมด เราต้องไม่ป่วย ไม่ตายด้วยโรคที่ป้องกันได้
ท่านเห็นด้วยไหมครับว่า ชีวิตที่จะประสบความสำเร็จที่ดีได้ จะต้องมีการบริหารความเสี่ยงที่ดี ซึ่งการบริหารความเสี่ยงที่ดีได้นั้นแบ่งออกได้เป็น 3 หลักใหญ่ๆ คือ หนึ่ง การเรียน สอง การเงินสาม สุขภาพ
ซึ่งผมได้สอนเรื่องนี้ให้นิสิตแพทย์ แพทย์ มาหลายสิบปี ตั้งแต่ถูกให้สอนตอนแรกในหัวข้อ “The Art of Learning” หรือ“ศิลปะในการเรียน” สอนไปสอนมา ผมรู้สึกว่าลูกศิษย์ผมไม่น่าที่จะรู้เฉพาะศิลปะในการเรียนเท่านั้น แต่ควรรู้เกี่ยวกับศิลปะในการดำรงชีวิต (อย่างมีความสุขทั้งกาย ใจ สังคม ปัญหา ไม่เครียดไม่จน อีกด้วย) ผมจึงค่อยๆ เพิ่มจนขณะนี้ จาก the Art of Learning กลายเป็น “The Art of Living” หรือ “ศิลปะในการดำรงชีวิต” แล้วครับ
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี