มั่นใจว่าท่านเจ้าของสุนัขที่เคยพาสุนัขไปพบสัตวแพทย์ที่คลินิกหรือโรงพยาบาลสัตว์ คงจะต้องเคยได้ยินเรื่องการเอกซเรย์ การทำอัลตราซาวนด์ การทำ CT scan หรือการทำMRI กันมาแล้วนะครับ
เทคนิคทั้งหมดที่กล่าวมานี้ เราถือเป็น “การตรวจวินิจฉัยด้วยภาพ” หรือที่เราเรียกว่า “Diagnosis imaging” ซึ่งเป็นวิธีทางห้องปฏิบัติการเพื่อช่วยในการตรวจวินิจฉัยโรคเบื้องต้น ที่ได้รับความนิยมและเป็นประโยชน์อย่างมากในการหาสาเหตุความผิดปกติในสัตว์เลี้ยงครับ วันนี้ผมมีข้อมูลดีๆ จาก อ.สพ.ญ.ดร.ชุติมน ธนบูรณ์นิพัทธ์ ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมาฝากครับ
“การตรวจวินิจฉัยด้วยภาพ” หรือ Diagnosis imaging ถือเป็นเรื่องใกล้ตัวที่ใช้ช่วยให้คุณหมอและเจ้าของสัตว์ได้ทราบถึงสาเหตุของความผิดปกติในเจ้าตูบหรือเจ้าเหมียว รวมถึงสัตว์เลี้ยงต่างๆ ได้เช่นเดียวกับในคนครับ
ตัวอย่างการวินิจฉัยด้วยภาพที่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายได้แก่ การเอกซเรย์ (X-ray) และการอัลตราซาวนด์ (Ultrasound) วันนี้เราจะมาดูถึงประโยชน์และข้อปฏิบัติเกี่ยวกับการเอกซเรย์และการทำอัลตราซาวนด์กันครับ
@ การเอกซเรย์ (X-ray) เป็นวิธีที่มีประโยชน์อย่างมาก เนื่องจากเป็นวิธีที่ทำได้ง่าย สัตว์ไม่ต้องวางยาสลบ หรืออดอาหารก่อนการตรวจวินิจฉัยก็ได้ นอกจากนี้ยังช่วยให้สัตวแพทย์ประเมินรอยโรคหรือความผิดปกติเบื้องต้นของสัตว์ป่วยจากภาพได้ ซึ่งจะทำให้เราสามารถวางแผนการรักษา และพยากรณ์โรคในเบื้องต้น ก่อนที่จะทำการตรวจวินิจฉัยในเชิงลึกต่อไป แต่เนื่องจากการเอกซเรย์นั้นมีข้อเสียบ้าง นั่นคือ มีความไวในการตรวจจับรอยโรคที่ผิดปกติได้ไม่ดีนัก จึงเหมาะเป็นเพียง “การประเมินในเบื้องต้น” เท่านั้น
ตัวอย่างความผิดปกติที่ใช้สามารถตรวจโดยการเอกซเรย์ ได้แก่ การตรวจหาความผิดปกติทางโครงสร้างเบื้องต้นของช่องอก ช่องท้อง กระดูกและกล้ามเนื้อ เช่นมีกระดูกหักหรือไม่ มีของเหลว (น้ำหรือหนอง) ในช่องอกและช่องท้องหรือไม่ มีแก๊สในช่องอก (ปอดรั่ว) หรือไม่ พบก้อนผิดปกติในช่องท้องหรือช่องอกที่เป็นตำแหน่งของอวัยวะหรือไม่ อวัยวะในช่องท้องหรือช่องอกมีขนาดและรูปร่างผิดปกติหรือไม่ เป็นต้น
ในปัจจุบัน มีเทคนิคการตรวจวินิจฉัยด้วยภาพชนิดอื่นๆ ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อช่วยให้การวินิจฉัยโรคนั้นๆ มีความแม่นยำมากขึ้น เช่น การทำอัลตราซาวนด์ (Ultrasound)CT-scan และ MRI เป็นต้น
@ การอัลตราซาวนด์ (ultrasonography) เป็นวิธีวินิจฉัยด้วยภาพที่มีความไวมากขึ้นกว่าเอกซเรย์ เนื่องจากช่วยให้สัตวแพทย์สามารถประเมินรอยโรค และการทำงานของอวัยวะภายในช่องท้องต่างๆ ได้ละเอียดและสมบูรณ์ขึ้นเช่น การทำงานของไตและตับในเบื้องต้น แต่การตรวจวินิจฉัยด้วยวิธีดังกล่าวนี้ สัตว์ที่จะทำการตรวจ จะต้องมีการเตรียมตัวก่อนรับการตรวจคือ การอดน้ำและอาหารอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง เพื่อช่วยให้ภาพที่ได้จากการตรวจอัลตราซาวนด์มีความชัดเจน และประเมินเห็นรอยโรคได้ง่ายมากยิ่งขึ้น เนื่องจากเทคนิคอัลตราซาวนด์มีข้อจำกัดที่หากมีแก๊สหรืออากาศ จะทำให้ไม่สามารถมองเห็น และประเมินรอยโรคได้อีกทั้งอาหารในทางเดินอาหารอาจบดบังอวัยวะที่ต้องการตรวจหรือทำให้แปรผลผิดพลาดไปจากความเป็นจริงได้ ดังนั้นหากต้องการตรวจประเมินโครงสร้างและการทำงานเบื้องต้นของอวัยวะในช่องท้อง เทคนิคนี้จึงเหมาะสมเป็นอย่างมากครับ
ประโยชน์อย่างหนึ่งที่เห็นได้ค่อนข้างชัดเจนและทำกันบ่อยในปัจจุบันคือ การตรวจเช็คการมีชีวิตอยู่ของลูกสัตว์ในท้องของแม่ เนื่องจากการเอกซเรย์นั้น สามารถบอกจำนวนของลูกสัตว์ในท้องได้ก็จริง แต่ไม่สามารถทราบได้ว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ การทำอัลตราซาวนด์สัตว์จึงเป็นประโยชน์มากขึ้นครับ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร.ทิลดิสร์ รุ่งเรืองกิจไกร
ฝ่ายประชาสัมพันธ์และส่งเสริมภาพลักษณ์องค์กร
คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี