อันที่จริงโลกของเรามีการพูดถึงเรื่องของ “บิ๊กดาต้า” (Big Data) มาอย่างต่อเนื่อง ว่าจะเป็นพลวัตสำคัญในการเดินไปข้างหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในด้านการเมืองเศรษฐกิจ และสังคม ด้วยความเชื่อที่ว่า “ข้อมูลขนาดใหญ่” จะนำไปสู่การพยากรณ์อนาคตที่แม่นยำ ที่จะนำมาซึ่งกระบวนการต่างๆ ในการไปถึเป้าหมายหรือผลลัพธ์ที่ต้องการได้อย่างเป็นระบบ รวมไปถึงในเรื่องของการตรวจสอบ ทั้งความคลาดเคลื่อนในการไปสู่ผลสัมฤทธิ์ การประเมินอุปสรรคปัญหา และการตรวจตราความบกพร่องในระบบต่างๆ ทั้งหมดทั้งมวลนี้เองที่ทำให้เกิดคำกล่าวที่ว่า “Data is the new Oil” เพราะข้อมูลอันไม่มีขีดจำกัดนั้น เปรียบค่าได้ ดังน้ำมันที่สามารถแปรเปลี่ยนเป็นมูลค่าได้อย่างมหาศาล เพียงแค่รู้จักที่จะใช้เท่านั้น
แต่ก่อนจะไปลงลึกถึงศักยภาพของข้อมูล ต้องเริ่มต้นกันที่ความเข้าใจที่ว่า “บิ๊กดาต้า” ไม่ได้จำเพาะที่ในเรื่องของการมีข้อมูลเท่านั้น เพราะยังมีกระบวนการอื่นๆ เข้ามาประกอบเพื่อการกลั่นข้อมูลอันมากมายให้กลายมาเป็นเครื่องมืออันทรงประสิทธิภาพในเรื่องต่างๆ ซึ่งถ้าว่าด้วยเรื่องของความเป็นข้อมูล ก็ยังจำแนกองค์ประกอบเอาไว้ในเบื้องต้นได้ 5 ลักษณะ ในการขยับไปสู่การเป็น “บิ๊กดาต้า” ดังนี้
1.จำนวนของข้อมูล ต้องมีเป็นจำนวนมาก จากทั่วทุกสารทิศ
2.ความรวดเร็วและเคลื่อนไปตลอดเวลาของข้อมูลต้องเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
3.รูปแบบของข้อมูลต้องมีความหลากหลาย
4.มีคุณค่าของเนื้อหาข้อมูลในเชิงสถิติ
5.ต้องไม่เป็นข้อมูลที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง
เมื่อเปิดทางไหลของข้อมูลตามรูปแบบทั้ง 5 ลักษณะนี้ เข้ามาแล้ว กลไกที่เป็นหัวใจหลักของ “บิ๊กดาต้า” ก็คือ การกลั่นกรองข้อมูลเพื่อค้นหาสิ่งที่ต้องการ เสมือนการร่อนตะแกรงเพื่อให้ได้เจอเพชร ซึ่งกระบวนการนี้เรียกกันว่า “Big Data Analytics” ซึ่งในขั้นตอนนี้ก็จะมีการ “Analysis” หรือการวิเคราะห์ใน 4 รูปแบบ เพื่อหาคำตอบที่เราต้องการอย่างแท้จริง คือ
1.การชี้ให้เห็นภาพรวมของข้อมูลทั้งหมดว่ามีรูปแบบอย่างไรบ้าง (Descriptive Analysis)
2.การเจาะลึกลงไปที่ประเด็นที่เราได้คำตอบมาว่า ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น (Diagnostic Analysis)
3.การคาดการณ์หรือทำนายสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตตามข้อมูลที่ได้รับ (Predictive Analysis)
และ 4.การสรุปสิ่งที่ต้องทำเพื่อให้เป็นไปตามคำตอบที่เราต้องการ (Prescriptive Analysis)
นี่เป็นกระบวนการทั้งหมดที่ทำงานในชื่อของ “บิ๊กดาต้า” และเมื่อลงลึกไปถึงศักยภาพในความมหัศจรรย์ของข้อมูลอันไร้ขีดจำกัดนี้ ก็ต้องเริ่มที่เรื่องของการเมือง ย้อนหลังไปในปีที่“โดนัลด์ ทรัมป์” เข้าชิงชัยการเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา กับ “ฮิลารีคลินตัน” เมื่อปี 2016 สำนักข่าว NBC News ของสหรัฐฯ ได้ออกมารายงานข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับการจัดทำ “บิ๊กดาต้า” สำหรับแคมเปญหาเสียงเลือกตั้ง จนสามารถเอาชนะคู่แข่งและกลายเป็นประธานาธิบดี คนที่ 45 ของสหรัฐอเมริกา ของโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าเขาได้ใช้เงินมากถึง 5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 178 ล้านบาท) เป็นค่าจ้างให้กับบริษัท “CambridgeAnalytica” ในการวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย ซึ่งคือผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียง
โดยที่ทาง “Cambridge Analytica” บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลจากสหราชอาณาจักร ออกมาระบุว่า ข้อมูลต่างๆ ที่พวกเขาได้รับมาเพื่อทำการวิเคราะห์นั้น เป็นข้อมูลของ
บุคคลที่บรรลุนิติภาวะและมีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงที่อาศัยอยู่ทั่วสหรัฐฯ กว่า 230 ล้านข้อมูล และมีจุดเชื่อมข้อมูลถึงกว่า 4,000 จุด ในแต่ละข้อมูลรายบุคคล โดยข้อมูลที่ได้รับมีแหล่งข้อมูลมาจากทั้งการเป็นสมาชิกของคลับ ยิม และการบริจาคให้องค์กรการกุศล เพื่อหาว่าจะมีปัจจัยอะไรบ้างที่จะมีผลต่อมุมมองความคิดทางการเมืองของคนกลุ่มนี้ และความเป็นไปได้ที่จะเปลี่ยนความคิดทางการเมืองของพวกเขา
กระนั้น แม้ว่าทางบริษัท“Cambridge Analytica” จะยืนยันว่าการได้มาซึ่งข้อมูลไม่ได้เป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัว แต่ก็ได้มีการกล่าวหากันจนกลายเป็นคดีความเขย่าโลกเกิดขึ้นและสร้างความตื่นตัวในทางการเมืองอย่างมากเกี่ยวกับเรื่องของ “บิ๊กดาต้า”ซึ่งมีอิทธิพลมหาศาลต่อความนิยมทางการเมือง และการตัดสินใจในการเลือกตั้งของประชาชนทั่วโลก (สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากสารคดีเรื่อง Big Hack)
ในด้านของเศรษฐกิจ “บิ๊กดาต้า” นอกจากจะได้รับความสนใจในการนำมาจัดเก็บข้อมูลของประชากรในแต่ละประเทศ เพื่อต่อยอดไปถึงการบริหารจัดการด้านสวัสดิการพื้นฐานต่างๆ ที่เหมาะสมแล้ว บริษัทเอกชนหลายแห่งก็ใช้ข้อมูลอันไร้ขีดจำกัดนี้แหละ เป็นเครื่องมือสำหรับการสร้างศักยภาพในการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็น กูเกิ้ล อะเมซอนอาลีบาบา และลาซาด้า หรือแม้กระทั่ง บริษัท Start Up สายก้าวหน้าอย่าง แกร็บ อโกด้า แอร์บีเอ็นบี และเน็ตฟลิก บริษัทเหล่านี้ล้วนเก็บข้อมูลของลูกค้าที่มีปฏิสัมพันธ์ต่อบริษัทหรือร้านค้าในทุกๆ ด้านไว้อย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นรสนิยมการดูหนัง อัตราการซื้อสินค้าอัตราการเข้าถึงระบบออนไลน์ การใช้จ่ายต่อครั้งอยู่ที่เท่าไหร่ ระบบการจ่ายเงินยึดโยงกับธนาคารไหน ฯลฯ ข้อมูลตรงนี้เองที่จะไปสร้างกลไกในการรักษามูลค่าทางการตลาดของพวกเขาเอาไว้ รวมไปถึงการพัฒนาสินค้าหรือบริการใหม่ๆ เพิ่มเติมเข้ามาตอบโจทย์ความต้องการ หรือรสนิยมของลูกค้าใหม่
สำหรับทางด้านสังคม ก็เริ่มมีการเรียกร้องให้ใช้เรื่องของ “บิ๊กดาต้า”เข้ามาใช้ในหน่วยงานของรัฐ เพื่อป้องกันปัญหาด้านการทุจริตคอร์รัปชั่นกันแล้ว ไม่ว่าจะเป็น การสร้าง “Blockchain” เพื่อแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับการประมูลงานที่เกี่ยวเนื่องกับทางหน่วยงานของรัฐทั้งหมด ว่าโยงใยไปไหนอย่างไรบ้าง การเปิดระบบ “Open Government Data” เพื่อแสดงข้อมูลการทำธุรกรรมต่างๆ จากทางภาครัฐ รวมไปข้อมูลการจัดเก็บภาษี ต่อการนำไปบริหารจัดการประเทศในส่วนต่างๆ เพื่อการตรวจสอบคุณภาพของการลงทุน และประสิทธิภาพในการบริหารจัดการงบประมาณ
ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ที่ “บิ๊กดาต้า” (Big Data) กำลังขับเคลื่อนโลกใบนี้ เพราะในจักรวาลของข้อมูล “มูลค่า” ถูกจัดวางเอาไว้มากมายมหาศาล แต่ปัญหาก็คือว่า เราจะใช้มันอย่างไร และจะใช้หรือไม่ เท่านั้นเอง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี