กระแส Universal Basic Income (UBI) หรือ นโยบายรายได้พื้นฐานถ้วนหน้า ได้รับการกล่าวถึงอีกครั้ง หลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจทั่วโลก จนทำให้เห็นข้อบกพร่องของระบบสวัสดิการประชาชนจากรัฐบาลในหลายประเทศ ที่ไม่สามารถรองรับความเป็นอยู่ขั้นพื้นฐานสำหรับประชากรส่วนใหญ่ในประเทศได้อย่างมีคุณภาพ รวมไปถึงปัญหาในเรื่องของความเสมอภาคสำหรับสิทธิที่ทุกคนควรจะได้รับ ดังนั้น เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์อันไม่ปกติในอนาคต UBI จึงได้รับการปัดฝุ่นมาสำรวจความเป็นไปได้อีกครั้ง แม้จะมีข้อจำกัดที่ยากจะปฏิบัติก็ตาม
ก่อนอื่นต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า รายได้พื้นฐานถ้วนหน้า ต่างจากสวัสดิการ เพราะมันเป็นการให้เงินแก่ประชาชนโดยไม่มีเงื่อนไขอะไรเลย ย้ำอีกครั้งว่า เป็นการให้เงินเปล่าๆ ในทุกๆ เดือน เพียงแต่รูปแบบของจำนวนเงินจะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ เพราะระบบจะจัดสรรจำนวนเงินที่เพียงพอต่อรายได้สำหรับการดำเนินชีวิตในประเทศที่เราอยู่อาศัย ซึ่งสามารถคำนวณออกมาได้จากรายจ่ายในชีวิตประจำวันพื้นฐานที่จำเป็นเท่านั้น คือ แม้ไม่มีรายได้จากงาน แต่ก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้แบบไม่ลำบากนัก แต่ก็ไม่ได้สร้างความคล่องตัวในการใช้จ่าย ที่สำคัญรายได้พื้นฐานถ้วนหน้า คือ ทุกคนสามารถได้รับอย่างเท่าเทียม
แนวคิดการให้เงินเปล่าโดยไม่มีเงื่อนไขนี้ แรกเริ่มเดิมทีมีแกนหลักๆ เป็นแนวคิดที่ว่า เมื่อเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทกว่าแรงงานมนุษย์ ทางออกควรเป็นอย่างไร ที่จะทำให้แรงงานที่ว่างงานทุกคนสามารถรอดพ้นจากความอดอยากและหิวโหย ซึ่งก็จะไปต่อยอดในเรื่องของการสร้างโอกาสและความหวังในการประกอบอาชีพอื่นที่ตนเองมีความชำนาญ และทำด้วยความเต็มใจในอนาคต จากนั้นก็ถูกพัฒนาขึ้นมากลายเป็นแนวทางหนึ่งของระบบการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ เพื่อที่จะจัดการกับปัญหาทางสังคม อาทิ อาชญากรรม หรือคนไร้บ้าน เป็นต้น และยกระดับคุณภาพทางด้านการศึกษาตลอดชีวิต และทักษะในการดำเนินชีวิตของพลเมือง
แต่กระนั้น นโยบายรายได้พื้นฐานถ้วนหน้า ก็มีข้อท้วงติงจากสังคม ในประเด็นแรกก็คือ เรื่องของแรงจูงใจในการดำเนินชีวิต เพราะเมื่อมีเงินที่ได้มาฟรีๆ แล้ว การดำเนินชีวิตในแบบไปเรื่อยๆ ไม่ต้องทำงาน ไม่ต้องสนใจอะไร อาจเกิดขึ้นได้ในหมู่ประชาชน ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้ ประโยชน์เดียวที่จะได้รับก็คือ การกระตุ้นการบริโภคในสินค้าอันตรายสิ้นเปลือง อาทิ เหล้า บุหรี่ หรือของฟุ่มเฟือยที่มีราคาไม่สูง แบบนี้ก็จะเป็นการสนับสนุนให้คนทั่วไปใช้ชีวิตไปวันๆ เท่านั้น ประเด็นต่อมา ความเท่าเทียมกันในการจ่ายเงินได้เปล่านั้นอาจถูกตั้งคำถามว่า สมควรหรือไม่ ในเมื่อบางคนมีฐานะที่สามารถดูแลตัวเองได้อย่างสบาย ทำไมต้องได้เงินก้อนนี้ด้วย ซึ่งตรงนี้ก็กำลังได้รับการถกเถียงกันมากในหมู่นักนโยบายสาธารณะว่าควรจะออกแบบมาในรูปแบบใดต่อไปที่จะทำให้เงินในส่วนได้เปล่านี้ไปถึงคนที่ควรจะได้รับเท่านั้น และประเด็นสุดท้าย แต่สำคัญมากๆ ก็คือ นโยบายนี้ต้องมีการใช้งบประมาณจำนวนมหาศาล และหากขาดการบริหารจัดการการหมุนเวียนของเงินที่ดี ก็อาจจะทำให้ประเทศที่นำนโยบายนี้มาใช้ตกเป็นหนี้จำนวนมหาศาลได้ด้วยเช่นกัน
“ฟินแลนด์” เป็นประเทศหนึ่งที่ทดลองแจกเงินให้เปล่าแก่คนว่างงานจำนวน 2,000 คน (อายุระหว่าง 25-58 ปี) ในช่วงเวลา 2 ปี ด้วยอัตรา 560 ยูโร หรือประมาณ 22,035 บาทต่อเดือน ซึ่งการทดลองได้เสร็จสิ้นไปเมื่อปี 2018 (2561) ผลลัพธ์ปรากฏว่าการแจกเงินไม่ได้ช่วยทำให้อัตราการจ้างงานเพิ่มขึ้นอย่างที่รัฐบาลคาดหวัง แต่สิ่งที่ได้เพิ่มมากขึ้นก็คือ ความสุขของกลุ่มตัวอย่างที่ได้รับการแจกเงิน รวมไปถึงความรู้สึกว่าสังคมมีความเหลื่อมล้ำน้อยลง ทำให้พวกเขามีความมั่นใจในการใช้ชีวิตมากขึ้น บางคนก็สามารถเริ่มต้นสร้างงานด้วยตัวเองได้ หลังจากที่ไม่ได้ทำงานเป็นชิ้นเป็นอันมาอย่างยาวนาน
ส่วนที่ประเทศ “นามิเบีย” (2008-2009) ก็ได้นำ UBI เข้าไปใช้ในหมู่บ้านยากจนแห่งหนึ่ง ซึ่งมีประชากรประมาณ 1,000 คน (เป็นความร่วมมือจากหลายภาคส่วนทั้งจากทางรัฐบาล เงินบริจาคจากองค์กรการกุศล และคริสตจักรโปรเตสแตนต์เยอรมัน) โดยให้จำนวนเงินต่อคนประมาณ 12 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 380 บาท) ต่อเดือนสำหรับผู้ที่มีอายุไม่เกิน 60 ปี ภายใน1 ปี เมื่อการทดลองจบลงพบว่า เด็กในชุมชนได้เรียนหนังสือมากขึ้น และภาวะการขาดสารอาหารในเด็กลดลงอย่างชัดเจน (42% เหลือเพียง 10%) คนในชุมชนพยายามสร้างรายได้ให้ชุมชนจนทำให้ค่าเฉลี่ยประชากรที่ยากจนลดลงจาก 86% เหลือเพียง 68% และที่สำคัญ ทำให้ปัญหาอาชญากรรมที่ก่อนหน้านี้มีอัตราสูง สามารถลดลงไปได้ถึง 42% อีกด้วย
ประเทศ “อินเดีย” ก็มีการทดลองแจกเงินดังกล่าวเมื่อปี 2011 ด้วยการสนับสนุนขององค์กร UNICEF ซึ่งทำใน 8 หมู่บ้านที่รัฐมัธยมประเทศโดยทุกคนทุกเพศทุกวัยในหมู่บ้านเหล่านี้ได้รับเงินทุกเดือนเดือนละ 200 รูปี(ผู้ใหญ่) 100 รูปี (เด็ก) ต่อมาก็เพิ่มเป็น 300 (ผู้ใหญ่) และ 150 (เด็ก)หลังจากผ่านไป 18 เดือน ทั้ง 8 หมู่บ้านก็มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่คึกคักขึ้น ภาวะโภชนาการและสุขภาพโดยรวมของคนในพื้นที่มีคุณภาพมากขึ้น อัตราการเข้าเรียนของเด็กๆ เพิ่มขึ้น และผลการเรียนของนักเรียนในพื้นที่ก็ดีขึ้น รวมไปถึงการส่งผลทำให้คนในชุมชนมีความใกล้ชิดกันมากขึ้นด้วย โดยทำให้ผู้หญิงจากต่างวรรณะกันสามารถมารวมกลุ่มกันเพื่อให้คำแนะนำและปรึกษาในเรื่องการใช้เงินระหว่างกันเป็นครั้งแรก
กลับมาที่ “ประเทศไทย” ด้วยมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อแรงงานจำนวนมาก ทำให้มีนโยบายแจกเงินได้เปล่าออกมาเป็นเวลา 3 เดือนเดือนละ 5,000 บาทต่อคน ซึ่งก็ต้องบอกว่ามีปัญหาในเรื่องการบริหารจัดการพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเงื่อนไขที่ซับซ้อนและไม่เสมอภาคการคัดกรองที่มีปัญหาและล่าช้า รวมไปถึงระบบข้อมูลที่ล้าสมัย ขาดการบูรณาการกันในหน่วยงานของรัฐ กระนั้น การแจกเงินจำนวนนี้ก็ผ่านพ้นไปได้ในที่สุด และแม้ว่าจะได้รับเสียงตำหนิติติง แต่ก็ทำให้รัฐบาลได้รับฐานข้อมูลของประชาชนในภาคส่วนต่างๆ อย่างครบถ้วน รวมไปถึงการปรับปรุงข้อมูลประชากรในอดีตให้มีความเป็นปัจจุบัน
ดังนั้น จะดีไหมที่จะใช้สถานการณ์นี้ เปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส เริ่มต้นวางระบบนโยบายรายได้พื้นฐานถ้วนหน้า ด้วยการบูรณาการข้อมูลของประชาชนเข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบ และสร้างช่องทางการส่งเงินที่ตรวจสอบได้และสะดวกสบายสำหรับทุกคนขึ้นมา จากนั้นการหาจำนวนเงินที่เหมาะสมต่อค่าของระดับที่พ้นจากความยากจนของคนในประเทศ ที่เหลือก็แค่รอเพียงฝ่ายนโยบายว่าจะตกผลึกอย่างไรกับ UBI ระหว่าง “โอกาสที่(ทุกคน) ควรได้” หรือ “การให้ที่สิ้นเปลือง”
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี