เชื่อว่า ถ้าย้อนหลังไปในช่วงปี 2002-2005 โลกน่าจะได้รู้จักกับละครเกาหลีใต้ชื่อดังอย่าง “แดจังกึม : จอมนางแห่งวังหลวง” และเพลงยอดฮิต ที่มีจังหวะเร้าใจ ในชื่อ “กังนัมสไตล์”จากนั้นก็มารู้ตัวกันอีกทีว่า การตลาดทางวัฒนธรรมของเกาหลีใต้ ได้มีอิทธิพลในการขับเคลื่อนโลกไปเสียแล้ว ก็เมื่อตอนปี2014 ในพิธีเปิด “อินชอนเกมส์” หรือการแข่งขันเอเชี่ยนเกม ครั้งที่ 17 ที่ประเทศเกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพ ซึ่งแน่นอนในวันนั้นศิลปินดารานักแสดงมากมายทยอยกันมาโชว์ตัว เพื่อประกาศให้โลกได้รับรู้ว่า ยุทธศาสตร์ทางวัฒนธรรมเพื่อการยกระดับทางเศรษฐกิจ ได้ประสบความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมแล้วในวันนั้น รวมไปถึงรายงานมูลค่าการส่งออกทางวัฒนธรรมในปี 2013 กว่า 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ก็เป็นอีกทางในการการันตีด้วยบัญชีและตัวเลข
แน่นอนว่า ความแข็งแกร่งและต่อเนื่องของยุทธศาสตร์นี้ จะเดินหน้ามาถึงขนาดนี้ไม่ได้ ถ้าปราศจากความช่วยเหลือจากทางรัฐบาล โดย “คิม แด จุง”ประธานาธิบดีคนที่ 8 ของประเทศเกาหลีใต้ เป็นผู้ริเริ่มเรื่องนี้อย่างเป็นเรื่องเป็นราวด้วยการตั้งหน่วยงาน Cultural Content Office ขึ้นมาเพื่อวางโครงสร้าง บริหารกติกา จัดการกฎหมาย และสนับสนุนทั้งเงินทุน ผู้คน และแนวคิด ให้กับภาคเอกชนที่ทำธุรกิจในเชิงสื่อสารเนื้อหาวัฒนธรรม เพื่อสร้างศักยภาพทางการแข่งขันให้ทัดเทียมกับบริษัทอื่นๆ ในตลาดโลก ซึ่งมีงบประมาณเริ่มต้นเพียง 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มาจวบจนปัจจุบันกว่าหลายเท่าตัวนัก
ปัจจุบัน อาหาร เสียงเพลง ละครภาพยนตร์ ดารา รายการทีวี แฟชั่น ไอดอลฯลฯ ยังคงเป็นสินค้าส่งออกที่ทำรายได้กลับไปยังประเทศเกาหลีใต้มหาศาลอย่างต่อเนื่อง และมากขึ้นๆ เมื่อสามารถเจาะเข้าไปยังประเทศมหาอำนาจในยุโรป และสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ The Korea Foundation องค์กรที่ถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ของเกาหลีใต้ออกสู่ทั่วโลก และโปรโมทด้านการศึกษาและการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม เคยทำการประเมินฐานแฟนคลับศิลปินไอดอลK-POP ทั่วโลก ว่ามีอยู่ราวๆ 89 ล้านคนใน 113 ประเทศ
ที่สำคัญ นโยบายด้านการส่งเสริมทางวัฒนธรรมของเกาหลีใต้มีการวางยุทธศาสตร์ต่อเป้าหมายเอาว่าอย่างน่าสนใจ และภายใน 5 ปี จะพยายามปรับแก้ไขอยู่ตลอดเวลา เพื่อที่จะทำให้ประสบความสำเร็จในเป้าหมายนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของมูลค่าการส่งออก ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศการสร้างความรักความสามัคคีของคนในชาติ การกระตุ้นสินค้าและบริการ แม้กระทั่งเรื่องของภาคประชาสังคม เป็นต้น ซึ่งจะเห็นได้ว่า ยุทธศาสตร์ทางวัฒนธรรม นอกเหนือไปจากการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจแล้ว ประเด็นในด้านการสร้างการรับรู้และความเข้าใจ นอกเหนือไปจากเรื่อง “เสน่ห์ของเกาหลีใต้” ก็ได้รับการถ่ายทอดผ่านละคร และภาพยนตร์ ที่ถูกผลิตขึ้นอยู่เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นความ
สัมพันธ์ระหว่างเหนือกับใต้ ที่ก่อนหน้านี้จะชี้ไปยังสงครามและความเสียหายที่เกิดขึ้น ก็ถูกปรับเปลี่ยนไปเป็นเรื่องของอนาคตและการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข หรือประเด็นของชนชั้นในสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำ จากที่ถูกซ่อนอยู่ในบางท่อนของเนื้อเพลงแนวประชดประชัน ก็ได้รับการตีแผ่ที่ชัดเจนขึ้นผ่านภาพยนตร์ระดับรางวัลของสถาบันระดับโลก
ล่าสุด ความไม่เท่าเทียมในเรื่องของเพศสภาพ ที่เกาหลีใต้ถูกโจมตีอย่างหนักก่อนหน้านี้ กำลังได้รับการบริหารจัดการภาพลักษณ์ใหม่ ให้มีความเป็นสากล และได้รับการยอมรับจากโลกในเรื่องของความใส่ใจ ผ่านงานวรรณกรรม ภาพยนตร์ และการสนับสนุนความสำเร็จของวงเกิร์ลกรุ๊ปชื่อดัง ที่กำลังโหมสร้างการจดจำแบบใหม่ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา หลังจากกระแส #MeToo ในประเทศเกาหลีใต้ดังกระหึ่ม ในปี 2018 เมื่อสังคมเกาหลีใต้ออกมาเรียกร้องความเท่าเทียมในการปฏิบัติต่อผู้หญิง และรณรงค์ยุติปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศ
เหล่านี้เป็นผลงานจากยุทธศาสตร์ทางวัฒนธรรมของประเทศเกาหลีใต้ที่ต้องยกย่องว่า มีประสิทธิภาพสูง และเป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารประเทศภายใต้การเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ อย่างลุ่มลึก ซึ่งไม่ใช่แค่เกาหลีใต้เท่านั้น ที่ใช้ยุทธศาสตร์ทางวัฒนธรรมจนประสบความสำเร็จ ก่อนหน้านี้ ประเทศญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา หรือแม้แต่ประเทศไทยของเรา ก็ดำเนินการทางวัฒนธรรมในรูปแบบที่ไม่ต่างกันนี้แม้จะไม่ต่อเนื่อง และขาดการขยายผล แต่เป้าหมายที่ตั้งใจก็สำเร็จได้ตามที่ต้องการ
ยกตัวอย่างประเทศญี่ปุ่น เมื่อปี 2013 รัฐบาลก็เข้าไปสนับสนุนภาคเอกชน ในรูปแบบเดียวกับเกาหลีใต้ ในยุทธศาสตร์ที่ชื่อว่า “Cool Japan” ซึ่งมีเงินทุนจัดตั้ง 3.75 หมื่นล้านเยน โดยองค์กรดังกล่าวจะทำหน้าที่วางฐานในด้านต่างๆ เพื่อสนับสนุนการสร้างความนิยมในต่างประเทศให้กับภาคเอกชนในส่วนที่ยังไม่มีศักยภาพเพียงพอ ทั้งในด้านเงินทุน ความคิดสร้างสรรค์ ความคล่องตัวทางด้านกฎหมาย และมิติด้านความสัมพันธ์ทางธุรกิจต่อพันธมิตรในแต่ละประเทศ ยุทธศาสตร์นี้วางเป้าหมายเอาไว้ที่ปี 2020 คือ มูลค่าการส่งออกอาหารต้องแตะระดับ 1 ล้านล้านเยนต่อปีส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติต้องเพิ่มขึ้น20-25 ล้านคนในปีนี้ (แต่แย่หน่อยที่โควิด-19 ระบาด ผลลัพธ์ต้องคลาดเคลื่อนจากที่ตั้งเป้าไว้)
สำหรับ “สหราชอาณาจักร” ยุทธศาสตร์ทางวัฒนธรรมของพวกเขาคือการใช้กีฬาฟุตบอล เพื่อเข้ามาสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจผ่านการถ่ายทอดสดส่งออกนักกีฬา และความนิยมระดับสโมสรรวมไปถึงการสร้างความภักดีต่อแบรนด์ ซึ่งก็คือทีมฟุตบอลที่คนท้องถิ่นในแต่ละพื้นที่ให้การสนับสนุน และเลือกที่จะอุดหนุนสินค้าหรือบริการต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องส่วนทางสหรัฐฯ นอกจากเรื่องของภาพยนตร์และอุตสาหกรรมดนตรี ที่ทำรายได้อย่างมหาศาลแล้ว ประเด็นในเรื่องของการเป็นชาติอันดับหนึ่ง การเป็นวีรบุรุษประชาธิปไตย และมหาอำนาจของโลก ก็ได้รับการแทรกซึมอยู่ในสินค้าทางวัฒนธรรมของพวกเขาแทบทั้งสิ้น เพื่อบอกกับโลก หรือทำให้โลกเชื่ออยู่ตลอดเวลาว่า อเมริกายังเป็นผู้นำที่เหมาะสมของโลก ซึ่งก็คล้ายๆ กับประเทศไทยในช่วงยุคสมัยหนึ่ง ที่วัฒนธรรมกลายเป็นเครื่องมือในการสร้างความรักความสามัคคีกันในชาติ ผ่านเพลง ผ่านวรรณกรรม และผ่านภาพยนตร์ ที่ชัดเจนก็คือ งานเขียนเรื่อง“สี่แผ่นดิน” ของ “หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช” ที่สื่อสารอย่างตรงไปตรงมาถึงท่าทีที่เหมาะสมต่อสถาบันชาติศาสน์ กษัตริย์ ผ่านเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ และการเมืองไทยในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันก็มีการจัดทำเป็นละครเวที และละครโทรทัศน์อยู่บ่อยครั้ง
ดังนั้น ยุทธศาสตร์ทางวัฒนธรรมจึงเป็นสิ่งสำคัญ และเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพมากในทางการสื่อสารเพื่อการประชาสัมพันธ์ (เชิงรุก) ในทั้งด้านเศรษฐกิจ เพื่อสร้างความต้องการทางการตลาด (Demand) ด้านการเมืองเพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ตรงกัน(Trust) และด้านสังคม เพื่อโน้มน้าวใจในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม (Change) หรืออาจจะผสมผสานกันไปเพื่อผลลัพธ์ตามเป้าหมายที่ต้องการ ซึ่งในประเทศไทยเริ่มมีการกล่าวถึงกันอีกครั้ง หลังจากก่อนหน้านี้ ก็เคยอยากเป็นแบบเกาหลีใต้ และเรียกร้องรัฐบาล แต่ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้าเท่าที่ควร แน่นอนว่า เรื่องของการสนับสนุนทั้งด้านเงินทุน แนวคิด และการช่วยเหลือเรื่องกฎหมาย ก็เริ่มเห็นเป็นรูปเป็นร่างไปบ้างแล้ว แต่ความเป็นชิ้นเป็นอัน และความใส่ใจจากทางภาครัฐรวมไปถึงเป้าหมายที่จะมีร่วมกันนั้น ก็หวังว่าในสักวัน สิ่งเหล่านั้นคงจะตามมาสมทบ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี