เชื่อว่า ในยุคสมัยนี้ คงไม่มีใครไม่รู้จัก “Big Data” หรือข้อมูลมหาศาลขนาดใหญ่ ที่ได้รับการนำมาใช้ประมวลวิเคราะห์เพื่ออำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการตลาด การเมือง ความปลอดภัย รวมไปถึงการบริหารจัดการของภาครัฐ โดยเฉพาะในรูปแบบท้ายสุดนี้ หลายประเทศทั่วโลกได้ให้ความสำคัญในการลงทุนสร้างระบบที่ทันสมัยขึ้นมาเพื่อใช้งานอย่างแพร่หลายเพราะรัฐจำเป็นต้องเข้าถึงข้อมูลของประชาชนในการที่จะนำมาออกแบบเป็นนโยบายสาธารณะ เพื่อกระจายประโยชน์ที่ควรได้รับหรือความช่วยเหลือที่ต้องการ ไปให้ถึงประชาชนแบบที่มีการตกหล่นให้น้อยที่สุด
ที่สำคัญ ในการดำเนินนโยบายใด หรือการปฏิบัติภารกิจใดก็ตาม จากทางภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การได้รับข้อมูลมหาศาลขนาดใหญ่จากประชาชน
ตอบรับกลับมาในรูปแบบของการประเมินผลหรือความพึงพอใจ ก็จะสามารถนำมาวิเคราะห์ข้อบกพร่องหรือกลไกของกระบวนการที่สมบูรณ์ได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งส่งผลทำให้มีการปรับนโยบาย หรือกิจกรรมในอนาคตให้เหมาะสมกับผลลัพธ์ที่ได้รับจาก Big Data ที่มาจากประชาชนในแบบที่ใกล้เคียงกับความต้องการมากที่สุด และตรงนี้เองที่ทำให้ภาครัฐสามารถกำหนดทิศทาง และงบประมาณ ในการพัฒนาและให้บริการประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ การมีอยู่ของ Big Data ในภาครัฐ ยังนำมาซึ่งการผสานความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเข้าด้วยกัน จากที่ต่างคนต่างทำ หน่วยงานใครหน่วยงานมัน แต่เมื่อภาครัฐสามารถที่จะมี Big Dataกลางสำหรับหน่วยงานต่างๆ ในการช่วยกันยกระดับข้อมูลให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอแล้ว หน่วยงานก็สามารถที่จะรับทราบถึงการดำเนินงานในด้านข้อมูลของหน่วยงานอื่นๆ ที่อาจมีความเชื่อมโยงกันในลักษณะของการปฏิบัติงานที่คล้ายกัน ซึ่งจะนำไปสู่การเปิดกว้างทางแนวคิด รูปแบบ หรือการปฏิบัติงาน อันมาจากข้อมูลที่มากยิ่งขึ้นปัญหาการบูรณาการการทำงานที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ก็อาจจะหมดไปเมื่อระบบจะเป็นตัวผสานทุกอย่างแทนตัวบุคคล หรือขั้นตอนอันสลับซับซ้อนภายใต้กรอบกติกาที่ไม่เอื้ออำนวย
และที่ภาคประชาสังคมชอบอกชอบใจเป็นพิเศษ ก็คือ ระบบการบริหารจัดการด้วย Big Data ของทางภาครัฐนั้น สามารถที่จะสร้างความโปร่งใส่ในการใช้งบประมาณได้อย่างสมบูรณ์แบบ เมื่อทุกห่วงโซ่ของการนำเงินจากทางภาครัฐไปใช้จ่าย หรือลงทุนในรูปแบบต่างๆ รวมไปถึงทุกตัวเลขของการจัดเก็บเงินเข้าคลัง ฯลฯ อันเกี่ยวเนื่องกับเรื่องเงินๆ ทองๆ ที่ส่อไปในทางที่อาจเกิดการทุจริตคอร์รัปชั่นได้นั้น ต่อไปนี้จะสามารถตรวจสอบตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ได้อย่างสะดวกสบายเห็นในทุกๆ การขยับของตัวเลข และรายชื่อทุกบริษัทที่เข้ามามีส่วนร่วมกับทางภาครัฐรวมไปถึงรายชื่อทุกคนที่อยู่ในแต่ละสัญญาจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งต้องถือว่าเป็นประโยชน์มหาศาล ถ้าสามารถนำระบบนี้มาใช้ได้อย่างเต็มศักยภาพในทุกๆ หน่วยงานรัฐ
เหล่านี้คือ ผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นเมื่อรัฐบาลใดก็ตามสามารถนำ Big Dataหรือข้อมูลมหาศาลขนาดใหญ่ มาใช้ในระบบบริหารจัดการประเทศ นอกเหนือจากงบประมาณที่จะปรับลดลง แต่มีผลงานอันทรงคุณค่ามากขึ้น กระนั้น เหรียญยังมี 2 ด้าน ระบบข้อมูลมหาศาล หรือ Big Data ก็เช่นกัน นั่นเพราะเบื้องหลังการทำงานของ Big Data ก็คือ “อัลกอริทึม”ซึ่งเป็นระบบของการประมวลผลหลังการป้อนข้อมูลเข้าไปเพื่อคำนวณและหาผลลัพธ์ ซึ่งจะนำมาสู่การตัดสินใจและลงมือปฏิบัติตามทิศทางที่ได้รับ ดังนั้นในชั้นของการป้อนข้อมูลจึงมีความสำคัญที่อาจสร้างความคลาดเคลื่อนในคำตอบที่ต้องการ หรือการปรากฏอยู่ของข้อมูลอ้างอิงที่แตกต่างจากความเป็นจริง เนื่องจาก 1.ข้อมูลที่ได้รับการเลือกมา ไม่มีคุณภาพ หรือคุณภาพต่ำ 2.ข้อมูลที่ได้รับการเลือกมา ไม่สมบูรณ์ คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง 3.ข้อมูลที่ได้รับการเลือกมารับเลือกเข้ามาด้วยความลำเอียง มีผลประโยชน์ทับซ้อน และ 4.ข้อมูลที่ได้รับการเลือกมาเป็นข้อมูลเก่า (หมดอายุ) ขาดความรอบคอบในการคัดเลือก
อีกประการหนึ่ง ที่เป็นเหตุให้ Big Data ทำงานอย่างคลาดเคลื่อน และส่งผลลัพธ์ที่ผิดพลาดต่อหน่วยงานรัฐ อันเป็นการกระทบไปยังประชาชน นั่นคือเรื่องของระบบใน “อัลกอริทึม” ที่ต่อเนื่องจากเรื่องของการป้อนข้อมูลให้ดังที่กล่าวไปแล้ว เพราะกลไกการจัดเก็บ วิเคราะห์ และประมวลผลของเครือข่ายข้อมูลมหาศาลขนาดใหญ่นั้น เป็นการสร้างจากมนุษย์และอิงกับฐานระบบของผู้วางโปรแกรม ซึ่งมอบการเรียนรู้จากรูปแบบต่างๆ ของข้อมูลที่มีอยู่เท่านั้น รวมไปถึงความเสี่ยงต่อการไม่เป็นกลางจากความอคติของมนุษย์ (ในกระบวนการ) จึงต้องมีการตรวจสอบอยู่เสมอ เพื่อความเท่าเทียมของข้อมูล และการปรับปรุงรูปแบบการเรียนรู้ต่อข้อมูลใหม่ที่เกิดขึ้น
รวมไปถึงเรื่องของกฎหมายในการจัดเก็บข้อมูล และการนำไปใช้ในกรณีที่ประสานความร่วมมือกับทางบริษัทเอกชนในการรับจ้างหรือร่วมบริหารจัดการBig Data ในทางนโยบายบางอย่างเพื่อการสาธารณะ ซึ่งในส่วนนี้ ขอหยิบยกหนึ่งกรณีที่ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ คือ การเข้าร่วมลงทุนจากภาคเอกชนใน “โครงการเสาอัจฉริยะ” หรือ Smart Pole ที่ได้รับการผลักดันจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ที่ทำให้เสาไฟต้นหนึ่ง นอกจากทำหน้าที่ให้แสงสว่างส่องทางแล้ว ยังสามารถให้บริการ สัญญาณอินเตอร์เนตสาธารณะ (Free Wi-Fi) การตรวจค่าฝุ่นพร้อมแสดงผล และกล้องวงจรปิดที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีปัญหาประดิษฐ์ หรือAI. ที่ตรวจจับความเคลื่อนไหวอันผิดปกติพร้อมการแจ้งเตือนที่มีประสิทธิภาพ ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เอกชนต้องลงทุน เพื่อแลกกับผลประโยชน์จากค่าโฆษณาที่ปรากฏอยู่บนป้ายหรือจอแสดงผลที่ติดตั้งไว้บนเสาไฟต้นนี้ แต่คำถามที่สำคัญก็คือว่า แล้วข้อมูลทั้งหมดที่ได้มาจากเทคโนโลยีการเชื่อมต่ออันไร้พรมแดนของบุคคลใดๆกับเสาอัจฉริยะต้นดังกล่าวนี้ ใครล่ะจะมีหน้าที่ในการบริหารจัดการ ทั้งการจัดเก็บการเข้าถึง และการนำออกมาใช้งาน
สำหรับความเห็นส่วนตัวแล้ว ภาครัฐควรเป็นผู้บริหารจัดการข้อมูลเหล่านี้ เพราะมีค่ามหาศาลยิ่งกว่ากำไรจากค่าโฆษณาบนเสาดังกล่าวนี้เสียอีกที่สำคัญ ยังสามารถส่งผลทั้งบวกและลบในการนำมาใช้ ดังนั้น การอยู่ในความควบคุมที่เป็นระบบอันโปร่งใส และตรวจสอบได้ จะสร้างความมั่นใจให้กับเจ้าของข้อมูลทุกท่าน ว่าข้อมูลเหล่านั้นจะไม่ถูกนำไปใช้เพื่อสร้างผลกระทบในทางไม่ดีต่อใคร รวมถึงตัวของบุคคลเจ้าของข้อมูลเองก็ตามและถ้าเป็นไปได้ ก็อย่างที่ได้แนะนำไปแล้วว่า การมีหน่วยงานกลางในการระดมและจัดสรรข้อมูลเพื่อการสาธารณประโยชน์ต่างๆ ของทางภาครัฐ หรือ Smart Thailand ที่สามารถบูรณาการการทำงานจากทุกภาคส่วนได้อย่างคล่องตัว ผ่านข้อมูลอันมหาศาลขนาดใหญ่ ก็เชื่อแน่ว่า ประเทศไทยจะสามารถกำหนดทิศทางในการใช้งบประมาณสำหรับตอบสนองความต้องการของประชาชนในด้านต่างๆ ได้อย่างตรงใจ
ท้ายที่สุด ซึ่งคงต้องฝากเอาไว้ คือ ในเรื่องของความเป็นส่วนตัว ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของสิทธิมนุษยชน ที่ตอนนี้หลายพื้นที่ทั่วโลกเริ่มมีการตั้งคำถามกันแล้วว่าอะไรเป็นกรอบหรือมาตรฐานในการได้มาและนำไปใช้ซึ่งข้อมูลส่วนบุคคลที่อยู่ในข่ายของการละเมิดหรือไม่ละเมิดบุคคลนั้นๆในทางการดำเนินชีวิต เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่พวกเราต้องร่วมกันคิด พิจารณาและตัดสินใจ อย่าปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคนเพียงหยิบมือเดียว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี