ว่ากันด้วยกระแสที่มีการกล่าวถึง กันในปี 2020 เชื่อแน่ว่า 1 ใน 5 ต้องมีกระแสการ Bully ติดอันดับเข้ามาด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะในปีที่ผ่านมา รวมถึงปีนี้ ภาคประชาสังคมเกือบทั่วโลกออกมาให้ความสำคัญต่อพฤติกรรมการ Bully เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นทั้งในโลกเสมือนจริง (Social Network) หรือในโลกปกติ เพราะผลกระทบในแต่ละกรณีที่มีการเปิดเผยมาอย่างต่อเนื่องนั้น ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีสำหรับมนุษย์ด้วยกันเลย เพราะเหยื่อที่ตกอยู่ภายใต้พฤติกรรมอันน่ารังเกียจนี้ ในทางที่เลวร้ายที่สุดคือการจบชีวิตของตัวเอง ลำดับถัดมาคือการทำร้ายตัวเองป่วย และอาจต้องเข้ารับการบำบัดสุขภาพจิตในสถานพยาบาล หรือในแบบปกติทั่วไปก็ต้องต่อสู้กับความอับอาย ไม่มีความเป็นส่วนตัว รวมไปถึงการถูกคุกคามในเกียรติของความเป็นมนุษย์
ดังนั้น กระแสติดอันดับที่เกิดขึ้นตามความสนใจของผู้คน ย่อมตีความได้ว่าโลกใบนี้มีกลุ่มคนที่นิยมพฤติกรรมดังกล่าวและกลุ่มคนที่ต่อต้านการกระทำนั้น ในปริมาณที่อาจจะมีความใกล้เคียงกันก็เป็นได้นี่เองที่ทำให้ต้องขอเปิดพื้นที่ตรงนี้ในการสร้างการรับรู้ไปสู่คนหมู่มาก ด้วยหวังจะลดกระแส Bully ให้เจือจางเบาบางลงจากความตระหนักในสิ่งที่เหยื่อได้รับ และผลแห่งการกระทำที่นอกเหนือไปจากความสะใจในวินาทีที่ได้ลงมือกระทำการลงไปแล้ว
อนึ่ง การนำเรื่องราวในลำดับถัดไปมาบอกเล่า มิได้เป็นไปเพื่อการตอกย้ำในเหตุการณ์ หรือขยายซ้ำ เพื่อจ้องหาตัวร้าย (คนผิด) หรือสร้างการประณามต่อผู้กระทำการแต่อย่างใด แต่ทั้งหมดเป็นไปเพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันในผลลัพธ์อันได้มีการเกิดขึ้น
“แชดวิก โบสแมน” (Chadwick Boseman) นักแสดงระดับแม่เหล็กของอเมริกา ที่โด่งดังจากบทของนำของภาพยนตร์เรื่อง “Black Panther” เมื่อต้นปีที่ผ่านมา (เมษายน 2020) ได้โพสต์คลิปให้กำลังใจแฟนคลับทั่วโลกผ่านอินสตาแกรมส่วนตัวที่มีผู้ติดตามกว่า10 ล้านคน ในช่วงที่ไวรัสโควิด-19 ระบาดอย่างหนัก มีผู้เสียชีวิตและเจ็บป่วยเป็นจำนวนมาก รวมไปถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นทางเศรษฐกิจทั่วโลก และนอกเหนือจากการให้กำลังใจซึ่งกันและกันแล้ว กษัตริย์แห่งที-ชาล่า (บทในภาพยนตร์) ยังบริจาคเงินหลายล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ให้แก่โรงพยาบาลอีกหลายแห่ง เพื่อนำไปใช้ในการจัดสรรอุปกรณ์ในการรักษาพยาบาลผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัส และอุปกรณ์ป้องกันสำหรับบุคลากรทางสาธารณสุข
กระนั้น แทนที่การตอบรับจากสาธารณชนจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับความชื่นชมในสิ่งที่เขาได้กระทำไป ซึ่งแน่นอนในส่วนนี้ก็มีเข้ามาอย่างล้นหลาม แต่ที่มากมายไม่แพ้กันก็คือ การแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรูปลักษณ์อันซูบผอม และการเล่นสนุกด้วยการนำรูปภาพในอดีตสมัยที่ “แชดวิก โบสแมน” โชว์มัดกล้ามและหุ่นที่บึกบึนในภาพยนตร์ มาเปรียบเทียบกับรูปตอนปัจจุบันที่แตกต่างกันลิบลับ รวมไปถึงการเล่นคำเพื่อล้อเลียนจาก “BlackPanther” เปลี่ยนไปเป็น “Crack Panther”หรือ “เจ้าเสือดำขี้ยา” อันเกิดมาจากข้อสันนิษฐานที่ว่า ร่างกายที่เปลี่ยนไปของเขานั้น เป็นผลมาจากการเสพโคเคนมากเกินไปนั่นเอง ซึ่งการล้อเลียนและคำถามมากมายต่อร่างกายที่เปลี่ยนไปของเขาก็ยิ่งมากขึ้นไปอีก เมื่อไม่มีคำชี้แจงใดๆ หรือปฏิกิริยาความเคลื่อนไหวต่อประเด็นนี้ออกมาจาก “ราชาเสือดำ” เลยสักนิด
ต่อมา 29 สิงหาคม 2020 ครอบครัวของ “แชดวิก โบสแมน” ก็ได้แจ้งผ่านสื่อสังคมออนไลน์ของเจ้าตัวต่อแฟนคลับของเขาว่า แชดวิกได้เสียชีวิตแล้วด้วยโรคมะเร็งลำไส้ ด้วยวัยเพียง 43 ปีจนกลายเป็นข่าวที่สร้างความตกใจไปทั่วโลก เพราะก่อนหน้านี้ไม่มีสัญญาณใดเลยที่บอกว่า แชดวิกกำลังป่วยเป็นมะเร็ง
หลังจากนั้น ความจริงที่ถูกเก็บงำไว้อย่างยาวนานก็ได้รับการเปิดเผยออกมาจากปากของครอบครัว ว่า “แชดวิกโบสแมน” ต้องต่อสู้กับโรคมะเร็งมาตั้งแต่เมื่อ 4 ปีที่แล้ว (2016) เขาถ่ายทำภาพยนตร์ไปด้วย และรักษาตัวเองด้วยการผ่าตัด และทำเคมีบำบัดไปด้วยโดยที่เขาไม่ต้องการที่จะบอกเรื่องนี้กับใครแม้แต่ตอนที่โพสต์คลิปให้กำลังใจคนที่กำลังประสบกับผลกระทบจากโรคไวรัสโควิด-19 แชดวิกเองก็ถูกเจ้าโรคร้ายนี้เล่นงานอย่างหนักจนร่างกายทรุดโทรมอย่างที่ปรากฏออกมาจนถูกคนนำไปวิพากษ์วิจารณ์อย่างเสียหาย และกลายเป็นประเด็นของการ Bully ที่แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว หลังไม่มีการออกมาปฏิเสธหรือให้ข้อเท็จจริงแต่อย่างใดจากเจ้าตัว
และแน่นอน “Crack Panther” หรือ “เจ้าเสือดำขี้ยา” ฉายาที่ผู้คนหยิบเอามา Bully “แชดวิก โบสแมน” ก็ได้รับการกล่าวถึงอีกครั้ง แต่ไม่ใช่เพื่อการดูถูกเหยียดหยาม ล้อเลียน หรือเพื่อความสนุกสนานตลกโปกฮาแต่อย่างใด ผู้คนเหล่านั้นระลึกถึงการ Bully ครั้งดังกล่าวเพื่อแสดงความขอโทษในความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ทั้งต่อครอบครัว และตัวของแชดวิกผู้จากไป อีกทั้งเหตุการณ์นี้ยังได้ปรับความเข้าใจของบุคคลเหล่านั้นต่อการBully ให้ยิ่งชัดเจนขึ้นว่า ความเจ็บปวดที่ต้องรู้สึกผิดนั้น ทั้งที่ตั้งใจ และไม่ตั้งใจมันเป็นอย่างไร และสร้างผลกระทบอะไรบ้าง
นี่ก็เป็นหนึ่งในกรณีตัวอย่าง ที่การ Bully ได้รับการตระหนักด้วยผลกระทบจากเหตุการณ์อันรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และอานิสงส์ก็เป็นการยกระดับสามัญสำนึกของผู้คนให้ดูแลรักษาความรู้สึกต่อกันและกันให้มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ใช่ว่าจะต้องรอให้มีการสูญเสียเพื่อการตื่นรู้เกี่ยวกับเรื่องของการ Bully เท่านั้น อย่างที่เกริ่นไปในตอนต้นว่า การ Bully เป็นกระแสที่ภาคประชาสังคมทั่วโลกให้ความสนใจเป็นอย่างมากต่อผลกระทบที่ร้ายแรงอันเกิดขึ้นกับเหยื่อ ดังนั้น จึงมีการสร้างกระบวนการเพื่อ “หยุดการ Bully” ขึ้นมาในหลายประเทศ ด้วยรูปแบบต่างๆ อาทิ ที่ประเทศเกาหลีใต้ ที่เป็นประเทศอันดับต้นๆ ที่มีอัตราการ Bully ต่อกันสูงมาก ซึ่งตามมาด้วยปัญหาสุขภาพจิต และการฆ่าตัวตายที่มีอัตราที่สูงไม่แพ้กัน ด้วยเหตุนี้เองทางสมาชิกรัฐสภาเกาหลีใต้จำนวน 9 คนจึงร่วมกันยื่นร่างกฎหมายฉบับใหม่ เพื่อต่อต้านการระรานทางไซเบอร์ (Cyberbullying)หลังจากศิลปินสาว K-PoP “ซอลลี่”เสียชีวิตด้วยภาวะซึมเศร้าจากคำวิจารณ์ที่รุนแรงบนโลกออนไลน์ (รวมไปถึงศิลปินดาราอีกหลายคน) ทำให้สังคมเรียกกฎหมายฉบับบนี้ว่า “Sulli Law” (กฎหมายซอลลี่) ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด เพื่อต่อต้านความคิดเห็นที่ระราน หยาบคาย มุ่งร้าย เสียดสี จากบุคคลที่ไม่อาจระบุตัวตนได้ในพื้นที่สื่อสังคมออนไลน์ และในปัจจุบันร่างกฎหมายนี้น่าจะอยู่ในชั้นของการตรวจสอบเพื่อนำเสนอต่อสภาฯ เพื่อการบังคับใช้ต่อไป
ในประเทศของเราเองก็ให้ความใส่ใจต่อเรื่องของการ Bully แม้ในภาครัฐจะยังไม่มีมาตรการออกมาอย่างเป็นรูปธรรมก็ตาม แต่ในภาคเอกชนมีความตื่นตัวในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก และได้ประสานความร่วมมือกับภาคประชาสังคมในการสร้างพื้นที่สำหรับการสร้างการรับรู้ความเข้าใจ และการหาทางป้องกันร่วมกันอาทิ “โครงการ Stop Bullying :เลิฟแคร์ไม่รังแกกัน” ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง มูลนิธิแพธทูเฮลท์ บริษัทดีแทค และองค์การยูนิเซฟ ในการพัฒนาระบบการให้บริการปรึกษาออนไลน์ผ่านห้องแชท (Chat Room) เพื่อช่วยเหลือเยาวชนที่กำลังเผชิญหรือได้รับผลกระทบจากการรังแกกันทั้งในโลกออนไลน์และที่เกิดขึ้นโดยตรงกับตัวเยาวชนเอง ให้ได้รับข้อมูล แนวทางการจัดการ และความช่วยเหลือในเรื่องดังกล่าว หรือการที่ “กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์” ได้ตั้งเป้าหมายในการให้ทุนต่อสื่อที่สนใจในการผลิตเนื้อหาเกี่ยวกับ “การสร้างภูมิคุ้มกันการ Bully ต่อกันในสังคม” และการมอบเครื่องมือสำหรับการสร้างการรู้เท่ากันการ Bully ผ่านสื่อการเรียนการสอนแก่โรงเรียนต่างๆ เพื่อสื่อสารแก่นักเรียนที่สังกัด เป็นต้น
ท้ายที่สุด ก็ต้องย้ำกันอีกทีว่าในเรื่องการ Bully ในประเทศของเราภาครัฐยังไม่มีทีท่าที่ควรมีต่อเรื่องนี้ ซึ่งไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม ถือว่าขาดความเท่าทันต่อปัญหาและสถานการณ์นั่นจึงนำมาซึ่งความเป็นห่วงที่ว่า จะต้องให้ประชาชนเสียสุขภาพจิต ป่วย หรือเสียชีวิต เป็นจำนวนเท่าไหร่ จึงจะเข้าใจได้ว่า ถึงเวลาต้องจัดการกับปัญหานี้อย่างจริงจังเสียที
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี