โรคหลอดเลือดเป็นโรคที่พบบ่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคหลอดเลือดหัวใจ สมอง ตีบและอุดตัน องค์การอนามัยโลก (WHO) รายงานว่ามีผู้เสียชีวิตจากโรคหลอดเลือด (Cardio Vascular Diseases : CVDs) ถึงปีละ 17.5 ล้านคนทั่วโลก แบ่งออกเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ7.4 ล้านคน และ 6.7 ล้านคน เป็นโรคหลอดเลือดสมอง (อัมพฤกษ์ อัมพาต-stroke) รวมทั้ง 9.4 ล้านคนตายจากโรคความดันโลหิตสูง มะเร็งทุกชนิด 9 ล้านคน ตายจากบุหรี่ 6 ล้านคน โดย 600,000 คนไม่ได้สูบบุหรี่เอง แต่มาจากการสูบบุหรี่ของผู้อื่น คือ สูบบุหรี่“มือสอง” 3.3 ล้านคน มาจากแอลกอฮอล์ 3.2 ล้านคน มาจากการออกกำลังกายน้อยไป หรือไม่ออก และ 1.7 ล้านคน ที่ตายจากโรคหลอดเลือด ฯลฯ เพราะกินเค็มมากไป ทั้งนี้ควรกินเพียง 2 กรัมของ Sodium (Na) ต่อวัน 2 กรัม ของ Na คือเกลือ 5 กรัมหรือเกลือ 1 ช้อนชา หรือน้ำปลา 3 ช้อนชา
ถ้าเพียงไม่กินเค็ม โรคความดันโลหิตสูงแทบจะหายไปหมด
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือด(ทั่วร่างกาย)ตีบและอุดตัน คือ
1) กรรมพันธุ์ ถ้าคุณพ่อคุณแม่เราเป็นโรคนี้ เรามีสิทธิ์เป็นมากกว่าชาวบ้านที่คุณพ่อคุณแม่ไม่เป็น
2) เพศชาย มีสิทธิ์เป็นมากกว่าผู้หญิง แต่พอประจำเดือนหมด ทั้ง 2 เพศ มีสิทธิ์เป็นเท่ากัน ทั้งนี้เพราะช่วงที่มีประจำเดือนผู้หญิงจะมีฮอร์โมนที่ป้องกันโรคนี้
3) อายุ ยิ่งสูงยิ่งมีความเสี่ยง เพราะหลอดเลือดเริ่มตีบทันทีหลังเกิด แต่เป็นไปอย่างช้าๆ จนตีบประมาณ 70-80% ของเส้นผ่าศูนย์กลางของหลอดเลือด จึงจะมีโรคเกิดขึ้น ซึ่งอาจถึงกับเสียชีวิตได้เลย ฯลฯ
4) การสูบบุหรี่ เป็นสิ่งที่ต้องห้ามเด็ดขาด และอากาศเป็นพิษ ที่มากับสภาวะโลกร้อน ซึ่งเป็นภัยคุกคามอันดับที่ 1 ของศตวรรษนี้
5) การดื่มแอลกอฮอล์มากไป (สหราชอาณาจักร แนะนำให้ดื่มไม่เกิน 2 หน่วยต่อวัน ทั้งชายและหญิง เพื่อลดโอกาสการเกิดโรคต่างๆ จากแอลกอฮอล์ให้น้อยที่สุด 1 หน่วย UK คือ 25 ซีซีวิสกี้ หรือไวน์ประมาณ 80 ซีซี หรือเบียร์ประมาณ 200 ซีซี
6) โรคเบาหวาน หรือ Diabetes Mellitus (DM) ต้องไม่กินหวาน น้ำตาลไม่เกิน 6 ช้อนชา/วัน
7) โรคความดันโลหิตสูง ต้องไม่กินเค็ม (เกลือไม่เกิน 5 กรัมหรือหนึ่งช้อนชา)
8) โรคไขมันในเลือดสูง
9) อ้วน
10) ความเครียด ควรมีงานอดิเรก ออกกำลังกาย อ่านหนังสือ เดินสายกลางในชีวิต ฯลฯ
11) การไม่ออกกำลังกาย คนที่ท้วมนิดๆ แต่ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ จะมีโอกาสเป็นโรคหลอดเลือดน้อยกว่าผู้ที่ไม่อ้วนตามธรรมชาติ แต่ไม่ออกกำลังกายเลย
ประเด็นที่สำคัญคือ โรคเบาหวาน ความดัน ไขมันในเลือด อาจผิดปกติได้โดยไม่มีอาการ ฉะนั้นเราจึงควรตรวจเลือดเป็นระยะๆ ทุกปี เริ่มต้นเมื่อเราเริ่มทำงาน (อายุ 20 ปี ฯลฯ) เพื่อดูระดับไขมันในเลือด น้ำตาล วัดความดันโลหิต ปัจจุบันนี้ทุกๆ คนควรมีเครื่องวัดความดันโลหิตที่บ้าน ความดันโลหิตมี 2 ระดับ ระดับบนเรียกว่า systolic ระดับล่าง diastolic ค่าปกติควรอยู่ระหว่าง 120/80ค่าปกติของ Systolic Blood Pressure อยู่ระหว่าง 100-130 ระดับของ Diastolic ควรอยู่ที่ 60-80 โดยประมาณ
75% ของไขมันในเลือดมาจากการสร้างของตับ อีก 25% มาจากอาหาร นี่เป็นเหตุผลทำไมบางคนไม่กินของมันๆ หรือยากจน ไม่มีอันจะกิน ยังมีไขมันในเลือดสูง (กรรมพันธุ์) แต่ถ้าระดับไขมันในเลือดสูง เราต้องลดความมันในอาหารก่อน รวมทั้งลดการกินอาหารที่เป็นแป้ง เช่น ข้าว ขนมปัง มันฝรั่ง น้ำตาล ฯลฯ ก่อนที่จะพิจารณากินยาลดไขมัน
ไขมันในเลือดที่สำคัญ คือ
1) Total Cholesterol ระดับไม่ควรสูงเกิน 200 มก.
2) Triglyceride ระดับไม่ควรสูงเกิน 150 มก.
3) Low Density Lipoprotein (LDL) ซึ่งเป็นไขมันที่ “ไม่ดี”
- ค่าปกติในคนธรรมดา ควรไม่สูงกว่า 130 มก.
- ถ้าเคยเป็นโรคหัวใจ หรือเบาหวาน ไม่สูงกว่า 100 มก.
- ถ้าเคยเป็นทั้งโรคเบาหวานและหัวใจ ไม่สูงกว่า 70 มก.
4) High Density Lipoprotein (HDL) ผู้ชายควรสูงกว่า 40 มก. ผู้หญิงมักสูงกว่า คือ 50 มก.
นอกจากดูระดับไขมันของทั้ง 4 ตัวแล้ว ควรดูอัตราส่วนของ HDL ต่อ LDL ด้วย อัตราส่วนนี้ยิ่งต่ำยิ่งดี ในผู้ชายควรต่ำกว่า 5 ผู้หญิง 4.5
โรคอ้วนมีความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดตีบและอุดตันทั่วร่างกาย ควรดูแลตนเองด้วยการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพและคุมอาหาร เพื่อให้ดัชนีมวลกาย (Body Mass Index : BMI)อยู่ต่ำกว่า 23 วิธีคำนวณ BMI คือ น้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัมหารด้วยความสูงเป็นเมตรกำลังสอง และพุงชาย หญิง ไม่เกิน90, 80 ซม. ตามลำดับ
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี