มีรายงานข่าวเมื่อเร็วๆ นี้บอกว่าองค์การสิ่งแวดล้อมแห่งสหภาพยุโรป(EEA) ได้เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับผู้เสียชีวิตในสหภาพยุโรป (EU) ว่ากว่า 13%หรือ 1 ใน 8 เสียชีวิตจากสาเหตุที่มีความเชื่อมโยงกับมลพิษ โดยเฉพาะมลพิษในอากาศ
อีอีเอให้ความเห็นว่า มลพิษมีส่วนเชื่อมโยงกับโรคหัวใจ มะเร็ง และหลอดเลือด รวมถึงโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ซึ่งสามารถหลีกเลี่ยงการเสียชีวิตได้ หากกำจัดปัจจัยความเสี่ยงของสิ่งแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อสุขภาพลงได้
นอกจากนี้ ในรายงานยังระบุถึงกลุ่มคนยากจนที่มีความเสี่ยงต่อการประสบปัญหาในเรื่องคุณภาพของอากาศ รวมถึงสภาพอากาศที่เลวร้ายได้มากกว่าคนกลุ่มอื่นๆ รวมไปถึงความเชื่อมโยงของสถานที่ต่างๆ ที่ใกล้กับพื้นที่ที่มีการจราจรติดขัด ก็เป็นผลทำให้เกิดความเสี่ยงทางสิ่งแวดล้อมได้มากกว่าอีกด้วย
เมื่อเห็นรายงานชิ้นนี้ ก็คงต้องหยิบเรื่อง “มลพิษทางอากาศ” มาขยายความกันเสียหน่อย เพราะในความรู้สึกที่ว่าไม่สำคัญ ไกลตัวเกินไป และเป็นแค่เรื่องของอุดมการณ์นักอนุรักษ์เท่านั้น สำหรับบางคนหรือบางกลุ่ม ในความเป็นจริงปัญหาเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ใกล้ตัวทุกคนมาก และเป็นเรื่องใหญ่ในระดับความเป็นความตายกันเลยทีเดียว ดังนั้น อย่าวางใจกับสิ่งแวดล้อมที่ไม่ปรารถนา และหันมาใส่ใจด้วยการใช้สิทธิในความเป็นพลเมืองเพื่อเรียกร้อง “อากาศที่สะอาด” ต่อภาครัฐกันเถอะ
ในบทความนี้จึงขอเริ่มต้นด้วยคำถามที่ว่า “คุณรู้ไหม?” สถานที่หรือพื้นที่อันจำกัดความว่าเป็นเมือง ทั้งที่เติบโตไปแล้ว และกำลังเติบโตทั่วโลกนั้นกว่าครึ่งหนึ่งเต็มไปด้วยมลพิษทางอากาศ
สาเหตุก็เป็นเรื่องที่เราคิดว่าปกติทั่วไป อาทิ การเคลื่อนที่ของยานพาหนะ การทำงานของโรงงานอุตสาหกรรม การทำอาหารในครัวเรือน การใช้ไฟส่องสว่าง การทำความสะอาด การสร้างขยะ เป็นต้น พฤติกรรมที่เราเห็นและกระทำจนชินตานี้เองที่มีส่วนในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เพิ่มปริมาณขึ้นบนโลกใบนี้ ยังไม่รวมถึงพฤติกรรมที่บ่อนทำลายสิ่งแวดล้อมด้วยความตั้งใจ ไม่ว่าจะเป็น การเผาป่า การสร้างโรงงานไฟฟ้า การปล่อยของเสียลงแม่น้ำ ฯลฯ
เหล่านี้เองที่ทำให้ไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมอัตราการเสียชีวิตจากโรคที่เกิดจากมลพิษทางอากาศ ถึงมากกว่าคนที่เสียชีวิตจากโรคเอดส์ วัณโรค และมาลาเรียรวมกัน ที่น่าตกใจก็คือ ประชากรกว่า 7 ล้านคนต้องเสียชีวิตจากมลพิษทางอากาศก่อนวัยอันควร ที่สำคัญ “องค์การอนามัยโลก” ได้คาดการณ์เอาไว้ล่วงหน้าว่า จะมีผู้ที่เสียชีวิตจากการรับมลพิษทางอากาศในอัตราที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และร้อยละ 91 ของจำนวนผู้เสียชีวิตจากมลพิษทางอากาศนั้น จะมาจากการดำเนินชีวิตที่ทำให้ต้องอยู่กลางแจ้งซึ่งต้องเผชิญกับฝุ่นควันอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ที่สำคัญปัญหาความเหลื่อมล้ำก็ทำให้โอกาสของครอบครัวที่มีฐานะยากจนเข้าใกล้อันตรายจากมลพิษทางอากาศได้มากกว่าครอบครัวที่มีฐานะดีหรือปานกลาง และสาเหตุก็มาจากการใช้ถ่านหินเพื่อประกอบการทำอาหารและสร้างความอบอุ่น
สำหรับการทำงานของมลพิษทางอากาศนั้น จากงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์พบว่า มีโอกาสสร้างปัญหาให้กับระบบทางเดินหายใจของมนุษย์มากที่สุด เริ่มจากการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ จากนั้นก็จะไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันต่างๆ ของร่างกายทีละน้อยๆ จนเปิดโอกาสให้เชื้อโรคอื่นใดสามารถเข้ามาทำลายร่างกายได้อย่างง่ายดาย นอกจากนั้นสารพิษที่อยู่ในอากาศยังเป็นอันตรายต่อดิน ต่อน้ำต่อธรรมชาติโดยรวม ไม่ว่าจะเป็น ซัลเฟอร์ออกไซด์ (SOx) และไนโตรเจนออกไซด์ (NO2) ซึ่งปนเปื้อนอยู่ในอากาศทั่วไปที่มีอานุภาพในการทำลายป่า และส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพของพืช รวมไปถึงคุณค่าทางสารอาหาร และองค์ประกอบสำคัญอื่นๆ ในการรักษาสุขภาพของมนุษย์
ว่ากันว่า เฉลี่ยแล้วเราหายใจเอาอากาศเข้าร่างกายประมาณวันละ11,000 ลิตร ดังนั้น ความเสี่ยงของเราต่อคุณภาพของอากาศจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรวางใจเป็นอย่างยิ่ง หลายประเทศทั่วโลกก็คิดเช่นนี้ และเริ่มที่จะหามาตรการเพื่อที่จะมี “อากาศสะอาด” ให้ได้สูดเข้าร่างกายอย่างสบายใจเกิดขึ้น ซึ่งการกดดันไปยังภาครัฐเป็นสิ่งที่ผู้คนในแต่ละประเทศใช้เป็นยุทธศาสตร์สำคัญ ในการผลักดันนโยบายออกมาบังคับใช้ให้เกิดผลทันที นอกเหนือไปจากการรณรงค์ในระดับสังคมที่ยังมีการตอบรับแค่ในระดับหนึ่งเท่านั้น
นโยบายหนึ่งที่กำลังเป็นที่สนใจสำหรับเรื่องนี้ก็คือ ข้อกำหนดทางด้านการคมนาคม ไม่ว่าจะเป็นการบังคับใช้พลังงานทางเลือกในเชื้อเพลิงทั่วไป มาตรการเกี่ยวกับการอำนวยความสะดวกในการใช้รถสาธารณะ หรือการขยับไปใช้พลังงานไฟฟ้าสำหรับพาหนะในประเทศ (ซึ่งต้องมีการลงทุนครั้งใหญ่) รวมไปถึงการรณรงค์ใช้รถจักรยานในการเดินทางให้มากยิ่งขึ้น และอีกเรื่องที่หลายประเทศได้ทำไปแล้ว คือการออกกฎหมายควบคุมโรงงานอุตสาหกรรมในการปล่อยปริมาณมลพิษออกมา หรืออาจจำกัดพื้นที่สำหรับการตั้งโรงงานอุตสาหกรรมมิให้กระจุกตัวในพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่น
การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยก็เป็นอีกหนทางที่น่าสนใจ ก่อนหน้านี้ก็มีระบบแอพพลิเคชั่นในการตรวจวัดค่าฝุ่น PM2.5 เพื่อทำการหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีค่าสูงกว่ามาตรฐาน หรือการใช้ระบบฉีดกระจายน้ำเพื่อชำระล้างการรวมตัวของฝุ่นควันในบริเวณป้ายรถเมล์ หรือพื้นที่ชุมชน และที่อยากแนะนำก็คือ การใช้การจับความเคลื่อนไหวของฝุ่นพิษด้วยดาวเทียม ไม่ว่าจะเป็นการก่อตัวบริเวณใดในประเทศ หรือนอกประเทศ (ประเทศเพื่อนบ้าน) ถ้าเราสามารถมีเครื่องมือในการจับกลุ่มฝุ่นควันที่รวมตัวกันได้แล้ว การจัดการหลีกเลี่ยงพื้นที่นั้น หรือสลายฝุ่นควันก็เป็นเรื่องไม่ยากอีกต่อไป รวมไปถึงการแสดงให้เห็นถึงการเคลื่อนที่ของฝุ่นควันอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อการร่วมมือในการบริหารจัดการปัญหาฝุ่นควันระหว่างมิตรประเทศ
อีกเรื่องที่อยากให้ความสำคัญมากๆ ก็คือ การปรับยุทธศาสตร์ของประเทศให้หันมาใช้รูปแบบระบบเศรษฐกิจแบบหมุนเวียน (Circular Economy) ที่เน้นในเรื่องของการนำกลับมาใช้ใหม่ หรือการใช้ทุกส่วนของวัตถุดิบอย่างคุ้มค่า และมีประสิทธิภาพ ซึ่งตอนนี้ในประเทศไทยเองก็เห็นว่า มีการผลักดันนโยบายนี้ไปใช้ที่ส่วนของอุตสาหกรรมการเกษตรแล้ว แต่ก็ยังไม่มีรายงานด้านสิ่งแวดล้อมออกมาการันตีว่าประสบความสำเร็จหรือไม่
ท้ายที่สุด “อากาศอันบริสุทธิ์”จะเกิดได้ แรงผลักดันที่สำคัญก็คงหนีไม่พ้นรัฐบาล ซึ่งต้องมีความจริงใจในการแก้ปัญหา และต้องมองทางออกจากปัญหานี้ในรูปแบบของยุทธศาสตร์ ที่รวมทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องพลังงาน การเดินทางการเกษตร การจัดการขยะ และการดำเนินชีวิตของผู้คน แล้วกลั่นออกมาเป็นนโยบายที่จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐในการยกระดับทางเศรษฐกิจ ที่อยู่บนพื้นฐานของการรักษาสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ประชาชน เพื่อที่ทุกคนจะสามารถเข้าถึงอากาศดีๆ ได้ในทุกๆ วัน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี