บทความอาทิตย์นี้ มีเรื่องมาเล่าให้อ่านด้วยกัน 3 เรื่องเบาๆ ซึ่งแต่ละเรื่องนั้น ก็ได้รับการสื่อสารผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว “ศิริภา อินทวิเชียร Siripa Intavichein” ที่พยายามใช้เวลาโพสต์เรื่องราวที่น่าสนใจอย่างต่อเนื่อง และสำหรับใครที่แวะเข้าไปชม รบกวนกด Like กด Share ข้อความที่ถูกใจกันด้วยนะคะ
เรื่องแรกที่นำมาเสนอ โพสต์ไว้ในชื่อที่ว่า “มนุษย์ไม่ได้ใช้ทรัพยากรทางธรรมชาติเพียงลำพัง” บอกเล่าเรื่องราวซึ่งเกิดขึ้นที่บริเวณชายหาดของเมืองสตรอแอนด์ รัฐแทสมาเนียออสเตรเลีย ซึ่งปรากฏปลาวาฬเกยตื้นมากกว่า 270 ตัว (ในเวลานั้น) และเกือบทั้งหมดเสียชีวิต
ในเหตุการณ์นี้ มีเจ้าหน้าที่จากโครงการอนุรักษ์สัตว์ทะเลแทสมาเนียร่วมกับอาสาสมัครราว 60 คน ได้เข้ามาช่วยกันรักษาชีวิตของปลาวาฬเหล่านี้ในตอนเกิดเหตุใหม่ๆ เพราะยังมีปลาวาฬบางส่วนที่เกยตื้นแล้วรอดชีวิตได้ พวกเขาจะหาทางรักษา ก่อนปล่อยกลับลงทะเล ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน ปลาวาฬส่วนใหญ่ หรือเกือบทั้งหมดก็ไปไม่รอด
สำหรับสาเหตุที่ทำให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น เบื้องต้นยังระบุไม่ได้ แต่สันนิษฐานว่า อาจเกิดจากการหนีฉลาม หรือไม่ก็มีคนพยายามให้อาหารใกล้บริเวณชายหาด ปลาวาฬจึงพากันถลำลึกเข้ามาเกยตื้น ซึ่งเรื่องนี้ได้อยู่ในความสนใจของตัวเองมาตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว เพราะมีข่าวปลาวาฬพากันเกยตื้นตามชายหาดปรากฏอย่างต่อเนื่องซึ่งเมื่อได้ลองไปค้นข้อมูลเก่าๆ ก็ได้พบว่า ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Las Palmas de Gran Canaria ของสเปน สันนิษฐานว่า คลื่นเสียงจากโซนาร์ (มาจากเรือและเรือดำน้ำ)ทำให้ปลาวาฬตื่นตระหนกตกใจจนไม่สามารถควบคุมตนเองได้ จนเกิดอาการน้ำหนีบ (Decompression sickness) ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
ที่สำคัญ การส่งคลื่นเสียงความถี่สูงนี้ ด้วยความที่ปลาวาฬต้องการหนี จึงดำน้ำสะเปะสะปะผิดวิธี จนทำให้ต้องมาเกยตื้นเสียชีวิตอยู่บริเวณชายหาดได้
หรืออีกสาเหตุหนึ่ง อาจเป็นเพราะมลภาวะ (pollution) ของสิ่งแวดล้อมทางทะเล เช่น คราบน้ำมันชายฝั่งอาจทำให้ระบบทางเดินหายใจเสียหาย หรือมลภาวะที่ได้รับจากห่วงโซ่อาหารจากแพลงก์ตอนสู่ปลา และหมึก เมื่อปลาวาฬมากินเข้าไปจึงสะสมเกิดเป็นพิษขึ้น ทำให้ระบบการนำทางหรือสื่อสารมีปัญหา จนลอยมาเกยตื้นที่ชายหาด
แต่ไม่ว่าสาเหตุจะมาจากอะไรถ้าสาเหตุเหล่านั้นดันมีที่มาจากมนุษย์อย่างเรา ก็คงถึงเวลาแล้วที่ต้องมาพยายามเข้าใจกันใหม่ ว่าโลกใบนี้มนุษย์ไม่ได้ใช้ทรัพยากรทางธรรมชาติเพียงลำพัง เรายังต้องแบ่งปันร่วมกับสัตว์ ร่วมกับธรรมชาติ รวมไปถึงมนุษย์คนอื่นๆ ด้วย ดังนั้น ทางใดก็ตามที่จะลดการเบียดเบียนในการสร้างผลกระทบทางทรัพยากรต่อกัน ไม่ว่าคน สัตว์ หรือพืช ก็เห็นควรว่า เราต้องตระหนักให้ยิ่งมาก และนำมาปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างแท้จริง
ส่วนเรื่องที่สอง เพิ่งโพสต์เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา (1 ตุลาคม) ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศในชื่อที่ว่า “อุณหภูมิน้ำในมหาสมุทรจะร้อนระอุ” ดังนี้
“คณะนักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมนานาชาติ รายงานผลวิจัยว่าด้วยผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของมหาสมุทร ว่าภาวะโลกร้อนทำให้พื้นผิวของมหาสมุทรสูงขึ้น เพราะดูดซับความร้อนทั่วโลกไปกว่า 90%ส่งผลทำให้พื้นผิวมหาสมุทรจะนิ่งมากขึ้น เพราะมีการจำกัดการหมุนเวียนของกระแสน้ำ จากการแยกชั้นของน้ำในมหาสมุทร
ด้วยเหตุนี้ทำให้ออกซิเจนและอาหารที่อยู่ในชั้นด้านล่างไม่สามารถขึ้นมาสู่บริเวณพื้นผิวมหาสมุทรได้ง่ายทำให้พื้นผิวมีความเป็นกรดมากขึ้น ดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้น้อยลง ส่วนน้ำที่ละลายจากภูเขาน้ำแข็ง ก็ไม่สามารถผสมกับน้ำทะเลได้ตามปกติ
เรื่องนี้ส่งผลทำให้เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตในทะเล เกิดมลภาวะทางอากาศสะสมในชั้นบรรยากาศรุนแรงขึ้นกระตุ้นการเกิดมหาพายุและไต้ฝุ่นรวมไปถึงอุณหภูมิที่สูงขึ้นของน้ำจะทำลายแนวปะการังทั้งหมด และเร่งการหลอมละลายธารน้ำแข็งจนทำให้ระดับความร้อนของน้ำในมหาสมุทรพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นี่เป็นผลกระทบจากภาวะโลกร้อนค่ะ เห็นไหมคะ ไม่ไกลตัวเราเลย”
และเรื่องสุดท้าย เป็นเรื่องที่ชอบมากๆ และอยากให้ทุกคนชอบเช่นกัน ก็คือเรื่อง “นโยบายลดขยะจริงๆ” ที่พยายามนำเอาความพยายามของร้านกาแฟแบรนด์หนึ่ง ที่อยากจัดการปัญหาโลกร้อนจนยอมเกิดผลกระทบทางธุรกิจ เพื่อทำความตั้งใจให้สำเร็จ
ร้านกาแฟแห่งนั้นมีชื่อว่า Blue Bottle Coffee ตั้งขึ้นในปี 2002 ในเมืองโอ๊คแลนด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ปัจจุบัน Blue Bottle มีกว่า 88 สาขาทั้งในสหรัฐ ญี่ปุ่น และเกาหลี แต่สิ่งที่ท้าทายมากๆ สำหรับ Blue BottleCoffee ไม่ใช่การเติบโตทางธุรกิจเท่านั้นสิ่งสำคัญที่พวกเขาให้ความสำคัญ คือ สิ่งแวดล้อม
ด้วยความที่ Blue Bottle ต้องใช้แก้วแบบใช้แล้วทิ้ง (เขา no plasticมานานแล้ว) ตกประมาณมากกว่า12 ล้านแก้วต่อปี นี่แค่สาขาในสหรัฐเท่านั้น รวมไปถึงการปรับใช้ทุกอย่างในร้านให้เป็นแบบย่อยสลายได้ อาทิ หลอดกระดาษ แก้วไบโอพลาสติก เป็นต้น แต่เมื่อพวกเขาลองมานั่งคิดแล้ว สุดท้ายทุกอย่างที่ร้านนำมาใช้ก็จะกลายเป็นขยะอยู่ดี
ในปีนี้ (2020) Blue Bottle จึงประกาศว่า ต้อง zero waste อย่างแท้จริงเสียที (ทางร้านต้องพยายามสร้างขยะให้น้อยกว่า 10%) นี่เองจึงเป็นที่มาให้ทางร้านยกเลิกการใช้แก้วแบบใช้แล้วทิ้งทั้งหมด ด้วยการให้ลูกค้ามาดื่มที่ร้าน หรือนำแก้วส่วนตัวมาเอง และในกรณีฉุกเฉินลูกค้าสามารถนำแก้วกลับบ้านได้ แต่ต้องวางมัดจำไว้ เพื่อจะได้คืนตอนนำแก้วกลับมา
แน่นอนว่า นโยบายของ Blue Bottle Coffee อาจไม่สะดวกกับลูกค้าบางท่าน แต่ในฐานะของเพื่อนร่วมโลก โดยส่วนตัวเห็นว่า นี่เป็นการเสียสละอันมีคุณค่าต่อสิ่งแวดล้อม และโลกใบนี้เป็นอย่างมาก ที่สำคัญ ในระยะยาวBlue Bottle จะลดการสร้างขยะได้มหาศาล และจะเป็นแรงบันดาลใจสำคัญให้กับผู้ประกอบการท่านอื่นๆได้อีกด้วย
เป็นอย่างไรกันบ้างกับทั้ง 3 เรื่องอันเชื่อมโยงกับสิ่งแวดล้อมที่อยากให้ร่วมกันรักษา แน่นอนว่า สำหรับบางคนอาจคิดว่า “แล้วฉันจะไปทำอะไรได้” นี่เองจึงเป็นสาเหตุให้นำเรื่องเล่าจากสื่อสังคมออนไลน์ของตัวเองมาสื่อสารผ่านพื้นที่ตรงนี้ เพื่อที่จะบอกว่า “การรักษ์โลก” แค่เริ่มต้นด้วยความรู้สึกห่วงใย ก็ใช้ได้แล้ว ส่วนขั้นตอนที่มากไปกว่านั้น เดี๋ยวมันก็มาเอง เหมือนบทความชิ้นนี้ไง เป็นกำลังใจให้ทุกคนค่ะ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี