ในบทความ “นับถอยหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ” เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ว่ากันไปด้วยเรื่องของทัศนคติของตัวบุคคล คือ “โดนัลด์ ทรัมป์” และ “โจ ไบเดน” สองตัวแทนจากพรรครีพับลิกัน และเดโมแครต สำหรับการลงรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีจากประชาชนของสหรัฐอเมริกา ต่อประเทศต่างๆ กันไปแล้วว่า ใครจะมีอิทธิพลในรูปแบบไหน และอย่างไร รวมไปถึงสีสันสำหรับการหาเสียงเลือกตั้งทั้งตัวของว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่เอง และผู้สนับสนุนที่ร้อนแรงไม่แพ้กัน ดังนั้นบทความชิ้นนี้จึงขอเกาะติดกระแสการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง เพื่อลงรายละเอียดในเรื่องนโยบายที่ผู้สมัครทั้งสองท่านนำมาใช้ในการหาเสียงครั้งนี้รวมไปถึงการเปรียบเทียบผลลัพธ์ในการรับรู้ของคนทั่วไป ว่านโยบายของใครสามารถสร้างความนิยมในใจของประชาชนได้มีประสิทธิภาพกว่ากัน
นโยบายด้านการต่างประเทศ
อย่างที่ทราบกันดีว่า America First หรือ อเมริกาต้องมาก่อนอันเลื่องลือของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ได้สร้างความวุ่นวายไปไกลถึงหลายทวีป ตั้งแต่เรื่องความเข้มข้นในอำนาจอธิปไตยของสหรัฐฯ ทั้งด้านความมั่นคง สังคม และเศรษฐกิจ อาทิ การขอแยกตัวจากข้อตกลงระหว่างประเทศด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ทำไม
อเมริกาต้องได้ไม่คุ้มเสียกับค่าใช้จ่ายตรงนี้)การถอนตัวจากองค์การอนามัยโลก(ปกป้องประเทศจีนมากเกินไป และดำเนินการผิดพลาดเกี่ยวกับโควิด-19) สงครามการค้าทั้งกับจีน และประเทศในกลุ่มทวีปยุโรป (อเมริกาเสียบเปรียบด้านการค้า และสิทธิทางภาษีมานานเกินไป) การถอนกำลังทหารจากประเทศต่างๆ (ทุกประเทศต้องดำเนินงานด้านความมั่นคงด้วยตัวเอง) เป็นต้นไปจนถึงการกระชับความสัมพันธ์กับประเทศปรปักษ์อย่างเกาหลีเหนือและรัสเซีย ซึ่งสร้างความไม่พอใจและไม่สบายใจให้แก่ชาติพันธมิตรที่ผนึกกำลังเรื่องความมั่นคงร่วมกันมากับสหรัฐฯ มาอย่างยาวนาน
สำหรับ “โจ ไบเดน” เอง ก็ชัดเจนว่าในเรื่องนโยบายต่างประเทศนั้น จะสวนทางกับ 4 ปีที่ผ่านมา ของทรัมป์ ที่พยายามพาอเมริกาแยกตัวออกจากกลุ่มประเทศต่างๆ จนคล้ายกับว่า อเมริกากำลังถูกโดดเดี่ยวจากประเทศอื่นๆ เขายังคงมีความเชื่อในแบบ “บารัค โอบามา” และอดีตประธานาธิบดีคนอื่นๆ ว่า อเมริกาต้องเป็นตำรวจโลก มีหน้าที่ในการบริหารและสร้างความสงบสุขให้กับทุกๆ ประเทศ ภายใต้กระบวนการที่อเมริกามองว่ามีความเหมาะสมเพื่อประโยชน์ของอเมริกาเอง และประเทศที่ยอมเป็นพันธมิตรหรือแนวร่วม ดังนั้น เรื่องของการถอนกำลังทหารออกจากประเทศต่างๆ น่าจะไม่เกิดขึ้น ถ้าไบเดนได้เป็นประธานาธิบดี และสงครามการค้า (ภาษี) อาจต้องมีการเจรจาในแบบที่มีทางออกต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มทวีปยุโรป ส่วนจีนอาจยังไม่มีการอ่อนข้อให้ แต่ก็จะไม่ขยับความเข้มข้นของการกดดันขึ้น นอกเหนือจากนั้น ความร่วมมือในด้านสังคมที่ทรัมป์ปฏิเสธ ก็จะได้รับการพิจารณาพาอเมริกากลับเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งอีกครั้ง โดยเฉพาะเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการสาธารณสุข
นโยบายด้านสิ่งแวดล้อม
สำหรับคนที่รณรงค์เรื่องสิ่งแวดล้อมอาจไม่ชอบใจการดำเนินการด้านนี้ของโดนัลด์ ทรัมป์ ในเกือบ 4 ปีที่ผ่านมานักเพราะประธานาธิบดีคนนี้พยายามลดข้อบังคับที่ให้ความคุ้มครองด้านสิ่งแวดล้อมหลายประการ โดยอ้างการพัฒนาและความได้เปรียบทางด้านเศรษฐกิจเป็นเหตุผล อาทิ ลดข้อจำกัดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากโรงงานและพาหนะและคลายกฎระเบียบในการคุ้มครองแหล่งน้ำสหรัฐฯ รวมไปถึงการอนุมัติขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า (อะแลสกา) ซึ่งได้รับการประกาศให้เป็นเขตอนุรักษ์ห้ามมีการขุดเจาะมาหลายทศวรรษแล้ว ส่วนที่เป็นข่าวใหญ่ไปแล้วก็คือ การถอนตัวจากความตกลงปารีส ซึ่งเป็นความตกลงตามกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยบอกว่า ข้อตกลงดังกล่าวทำให้สหรัฐฯ ต้องเสียเปรียบเพื่อผลประโยชน์ของประเทศอื่นซึ่งกระบวนนี้จะเป็นทางการหลังการเลือกตั้งที่จะถึงนี้
ทางด้านของ “โจ ไบเดน” และนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของเดโมแครต เขาก็สัญญาว่า จะพาอเมริกากลับไปเข้าร่วมกับประชาคมโลกในข้อตกลงปารีส ที่สนับสนุนให้คนทั้งโลกพร้อมใจกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เขายังตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่า สหรัฐอเมริกาต้องเป็นประเทศที่ไม่มีการปลดปล่อยคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศ (Net-Zero Emission) ภายในปี 2050(ตอนนี้ก็มีผู้ว่าการรัฐบางคนในสังกัดเดโมแครต ได้ออกแคมเปญนโยบายที่ว่าบริษัทรถยนต์ในพื้นที่ของเขาต้องจำหน่ายรถพลังงานไฟฟ้าเท่านั้น ในปี 2030 ด้วย) รวมไปถึงการพัฒนาพลังงานสะอาดมาใช้เป็นหลักก็อยู่ในนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจของไบเดน ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้นักอนุรักษ์ชื่อดัง “เกรตา ทุนเบิร์ก” สื่อสารผ่านสื่อสังคมออนไลน์ส่วนตัวสนับสนุนไบเดนในการเลือกตั้งครั้งนี้ แม้ว่าเธอจะไม่ได้เป็นชาวอเมริกันก็ตาม
นโยบายด้านการค้า
ในสมัยแรกของประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ข้อได้จัดการกับตกลงทางการค้าต่างๆ ที่เห็นว่าไม่เป็นธรรมต่อสหรัฐฯ เช่น แก้ไขข้อตกลงเขตการค้าเสรีทวีปอเมริกาเหนือ (นาฟตา) ระหว่างสหรัฐฯ แคนาดา และเม็กซิโก และการถอนตัวจากความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (Trans-Pacific Partnership: TPP) รวมไปถึงจุดยืนที่แข็งกร้าวต่อจีนในเรื่องภาษี และข้อกำหนดของสินค้า และอีกหลายประเทศทั้งในทวีปยุโรป อเมริกาเหนือ และใต้ ซึ่งเชื่อว่าในสมัยที่สองของทรัมป์ นโยบายด้านการค้าก็จะยังคงพร้อมความร้อนแรงในหลักของการไม่เสียผลประโยชน์ใดๆ ให้กับประเทศคู่ค้าเช่นนี้ต่อไป
สำหรับ “โจ ไบเดน” ชูนโยบายที่มีชื่อว่า Buy Americans ซึ่งเป็นนโยบายมูลค่า 700,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดย 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ จะไปกระตุ้นเศรษฐกิจที่ซบเซาจากโควิด-19 ด้วยการลงทุนโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน (ถนน สะพาน ระบบราง ฯลฯ) และมีข้อกำหนดว่า อุปกรณ์ เครื่องมือ วัตถุดิบที่ใช้ทั้งหมดต้องซื้อภายในประเทศ เพื่อกระตุ้นให้มีการจ้างงาน และเงินสะพัด ส่วนอีก 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ใช้ลงทุนไปกับการวิจัยเทคโนโลยี 5G รถไฟฟ้า พลังงานสะอาด และปัญญาประดิษฐ์ เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีให้นำหน้าประเทศมหาอำนาจคู่แข่งอย่างจีนและกระตุ้นให้เกิดการจ้างงานในอุตสาหกรรมที่มีการจ่ายค่าตอบแทนสูงส่วนเรื่องของกำแพงภาษีที่ทรัมป์ตั้งเอาไว้ อาจถูกไบเดนทุบทิ้ง แล้วกลับไปเป็นการค้าเสรีเช่นเดิม มีการกลับเข้ารวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ ซึ่งตรงนี้เอง ไบเดนก็ยังพูดไม่ชัดเจนนักว่าจะเอาอย่างไร เพราะก็เห็นว่าคนอเมริกันส่วนหนึ่ง (เยอะพอสมควร) ก็ได้รับประโยชน์ในส่วนนี้ด้วย
เท่าที่จะเอามานำเสนอได้บนพื้นที่อันจำกัดของคอลัมน์นี้ ก็คงได้แค่นโยบายหลักๆ 3 เรื่องสำคัญ ซึ่งก็น่าจะพอทำให้มองเห็นเส้นทางของพญาอินทรีภายใต้การกุมบังเหียนของผู้สมัครทั้งสองท่าน ได้บ้างแล้ว แต่กระนั้นก็ยังมีเรื่องของการบริหารจัดการโควิด-19 นโยบายผู้อพยพนโยบายเกี่ยวกับความยุติธรรม (คนผิวสีเพศทางเลือก) รวมไปถึงเรื่องการพกปืนและอื่นๆ อีกมากมาย ที่หลังการได้ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ แล้ว จะนำมาชำแหละทิศทางของอเมริกาและโลกใบนี้อีกครั้ง เพื่อความชัดเจนที่มากยิ่งขึ้น
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี