ผมชอบเดินดูของกินตาม super market ชอบซื้ออาหารมาทำกินที่บ้าน เช่น กุ้งเกษตร ปลาเนื้ออ่อน (ตัวหนึ่งตั้ง 200 กว่าบาท!?) ปลาหมึก เนื้อวัว tenderloin steak คอหมูย่าง ผักชนิดต่างๆ ฯลฯ คงติดสมัยที่เป็นนักเรียนที่อังกฤษ ตอนแรกๆพักที่หอพักมหาวิทยาลัย (Hall of Residence) ที่ทำอาหารกินเองได้ง่ายๆ เช่น ข้าวสวย ไข่เจียว หมูทอด ฯลฯ ต่อมาอยู่ flat กับเพื่อน ก็จะทำอาหารที่ทำยากขึ้นแต่ยังง่ายๆให้ตัวเองและเพื่อนกิน
ผมชอบกิน steak แต่ต้องนุ่มมากๆ เนื้อวัวที่ผมชอบกินมากที่สุดคือ เนื้อวากิวจากญี่ปุ่น ที่นุ่มมาก แทบจะละลายในปาก เคยไปกินมาหลายครั้งตอนไปญี่ปุ่น เป็น set คนหนึ่งมีราคา 15,000 เยนหรือประมาณ 4,500 บาทต่อคน ซึ่งผมชอบ ติดใจมาก ถึงแม้สำหรับผมจะแพงมาก พอกินเนื้อวัวของญี่ปุ่นแล้ว เช่น เนื้อที่มาจากที่ Kobe, Sendai ฯลฯ แล้ว แทบไม่อยากกินเนื้อจากที่อื่นเลย ไม่ว่าจะเป็น New York Cut, T bone, Rib Eye, Porter House ฯลฯเวลาผมไป foodland ใกล้ๆ บ้าน ตอนแรกก็ลองซื้อ steak ชนิดต่างๆ เช่น Rib Eye ฯลฯ มากิน เพราะชื่อ Rib Eye มันติดตลาดเป็น brand แต่กินอย่างไรก็ไม่อร่อยถูกใจ ปาก เคยถามเจ้าหน้าที่ร้านอาหารและ foodland เขาบอกหลายที่ว่า tenderloin นุ่มที่สุดแต่ผมก็ไม่เชื่อ เพราะชื่อมันแสนธรรมดา (สำหรับผม) ไม่มี brand “ดูแล้วเป็นเนื้อล้วนๆ ไม่มีมัน แต่พอลองดูติดใจมาก นุ่มมาก อร่อยมากลูกๆ หลานๆ ติดใจมาก ขนาดเจ้าเบน (หลานชายปู่) นักเรียนประเทศอังกฤษยังบอกว่า steak ของปู่อร่อยกว่าที่ร้าน ผมเลยซื้อเป็นประจำ ที่foodland มี tenderloin steak เป็นก้อนกลมๆ ยาว ผมสั่งให้ตัดชิ้นที่มีความหนาประมาณ 1 นิ้ว เนื่องจากเส้นผ่าศูนย์กลางของเนื้อtenderloin ที่เขาเอามาขายไม่ใหญ่มาก พอตัดชิ้นที่มีความหนาประมาณ1 นิ้ว ชิ้นหนึ่งก็จะมีน้ำหนักประมาณ 150-170 กรัม หรือ 1.7 ขีด เนื้อ tenderloin ที่ผมซื้อมีราคาประมาณ 620 บาทต่อกิโลกรัม
ผมชอบกินเนื้อวัว (และเนื้อหมู ไก่) แต่กินไม่มาก อยากกินเพียง 100 กรัม แต่สั่งร้านให้ตัดขนาดนี้ได้ยาก ตอนแรกเลยเอาใหญ่แล้วมาตัดเอาเอง แต่ปัจจุบันนี้อยู่ตัวแล้ว ถ้าเอาชิ้นที่มีความหนา 1 นิ้วจะได้เนื้อ 1 ชิ้นที่มีน้ำหนัก 160-170 กรัม เพราะก้อนเนื้อที่foodland มีขนาดเท่ากันทุกที่
ตามที่ผมเคยเขียน พูดบ่อยๆ ความต้องการโปรตีนของร่างกายเรามีไม่มากต่อวัน เราไม่ใช้โปรตีนในการออกกำลังกาย ในการออกกำลังกายเราใช้แป้งและไขมันเท่านั้น ใช้แป้งสำหรับกีฬาที่รวดเร็ว รุนแรงเช่น วิ่ง 100-200-400 เมตร ยกน้ำหนัก แต่ในการออกกำลังกายเบาๆเช่น เดิน วิ่งเหยาะๆ ร่างกายจะใช้ไขมันเป็นพลังงาน ซึ่งการออกกำลังกายแบบไม่หนักมากจะดีต่อร่างกายเพราะไขมันจะถูกนำไปใช้
ความต้องการโปรตีนของร่างกายมีเพียง 1 กรัมโปรตีนต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ฉะนั้นคนที่มีน้ำหนักตัว 70 กิโลกรัม จะต้องการโปรตีนต่อวัน คือ 70 กรัม ประเด็นมีอยู่ว่า 1 กรัมของเนื้อสัตว์ไม่ใช่ 1 กรัมโปรตีน แต่ 30 กรัมของเนื้อสัตว์มีเพียง 7 กรัมโปรตีน ฉะนั้นในวันหนึ่งๆ ผู้ที่มีน้ำหนักตัว 70 กิโลกรัม จะต้องการโปรตีน 70 กรัม หรือถ้าเอาโปรตีนทั้งหมดไปอยู่ในเนื้อสัตว์ คนคนนั้นจะต้องกินเนื้อสัตว์ 300 กรัม/วัน แต่เราไม่ได้กินเนื้อสัตว์อย่างเดียว เรายังกินนม ผัก ถั่ว เต้าหู้ ฯลฯ ซึ่งก็มีโปรตีนทั้งนั้น ฉะนั้นความต้องการเนื้อสัตว์อย่างเดียวอาจเป็นเพียง 100-150 กรัมเท่านั้นต่อวัน
ถึงแม้ผมชอบเนื้อ แต่ผมก็กินไม่มาก และทราบดีว่ากินเนื้อแดงมากๆ ไม่ดีต่อสุขภาพ เนื้อแดง คือ เนื้อวัว หมู แพะ แกะ ฯลฯ ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ โดยเฉพาะถ้าเป็นเนื้อแปรรูป เช่น ไส้กรอก กุนเชียง เบคอน หมูแฮม ฯลฯ และการกินเนื้อวัวมากๆ จะส่งเสริมให้มีการเลี้ยงวัวต้องใช้หญ้า น้ำมากวัวผายลม เรอออกมาเป็น methane ก๊าซ ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจก green house gas ซึ่งจะมีส่วนทำให้โลกร้อนขึ้น ซึ่งสภาวะโลกร้อนเป็นภัยคุกคามที่รุนแรงที่สุดในศตวรรษนี้
อาหารที่ควรกินมากๆ คือ พืช ผัก ถั่ว เต้าหู้ แป้ง เช่น ข้าวกินได้ตามเท่าที่ร่างกายใช้ กินมากไปจะอ้วน กินน้อยไปจะไม่มีแรงในการทำงาน หรือออกกำลังกาย โปรตีนจากเนื้อสัตว์ที่ดีที่สุดตามลำดับ คือ ปลา ปลาทะเลดีกว่าปลาน้ำจืด มี omega 3 มากกว่า ไก่ที่ไม่มีหนัง ส่วนเนื้อวัว หมู แกะ แพะ ฯลฯ ควรกินน้อยๆ หน่อย
ผมชอบซื้อกุ้งเกษตรมาลวกกิน ผมนี่ก็แปลก ชอบกินกุ้งแต่ต้องเป็นเผาหรือลวก สำหรับกุ้งมังกร (lobster) ผมชอบกินแบบปลาดิบ หรือ sashimi หรือแบบ hot pot หม้อร้อน ลวกจิ้มแบบที่ร้าน Shangrila ธนิยะ ที่ผมไปบ่อยพอสมควร ผมไม่(ค่อย)ชอบกุ้งทอด หรือะไรที่มีน้ำซอสมาราดทั่วๆ เช่น กุ้งเปรี้ยวหวาน ฯลฯ
ปลาหมึก (ไขมันสูง) ผมซื้อมาเผากิน ชอบกินหนวด ที่บ้านทำน้ำจิ้มอาหารทะเลได้อร่อยมาก ซื้อมาตัวเล็กๆ ส่วนใหญ่กินไม่กี่ชิ้นแล้วให้คนอื่นกิน นอกจากบางวันกินหมดตัว
ส่วนคอหมูย่างก็สุดยอด เอามาปิ้งกิน แต่ต้องเลือกคอหมูที่ไม่มีมันมาก แพงหน่อย แต่ดีกว่ากินมันหมู (ที่เราไม่ชอบ-ถ้าชอบก็จะกินบ้าง)
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ต้องรู้ว่าอะไรดี ไม่ดีต่อสุขภาพ ถ้าไม่ดีไม่ชอบ อย่ากินเลย แต่ถ้าไม่ดีแต่ชอบ กินนิดหน่อยได้ กินแล้วหยุดไปอีกนาน กินแล้วออกกำลังกาย ถ้ากินของมันๆ เช่น เป็ดปักกิ่งหมูหัน หมูสามชั้น ขาหมู ฯลฯ อย่ากินมาก และกินผักตามไปด้วยมากๆ เพราะผักจะช่วยลดการดูดซึมของไขมันได้บ้าง
ชอบกิน กินบ้าง ไม่ชอบก็อย่ากิน เพราะกินก็ตายไม่กินก็ตาย (555 ในที่สุด) นี่คือปรัชญาของผม ฉะนั้นควรเดินสายกลางในชีวิต จะได้มีความสุขบ้างในชีวิต โดยมีโทษให้น้อยที่สุด
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี