ก๊าซเรือนกระจก คือ ก๊าซที่เป็นองค์ประกอบของบรรยากาศโลก ซึ่งห่อหุ้มโลกเอาไว้เสมือนเป็นเรือนกระจก ก๊าซเหล่านี้ มีความจำเป็นต่อการรักษาอุณหภูมิของโลกให้คงที่ ซึ่งอาจแบ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกตามธรรมชาติและก๊าซเรือนกระจกจากภาคอุตสาหกรรม โดยองค์ประกอบที่สำคัญของก๊าซเรือนกระจก ได้แก่คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) มีเทน (CH4) ไนตรัสออกไซด์ (N2O) ซีเอฟซี (CFCs) ไฮโดรฟลูโรคาร์บอนคาร์บอน (HFCs) เพอร์ฟลูโรคาร์บอน (PFCs) และซัลเฟอร์เฮกซาฟลูออร์ไรด์ (SF6)
หากปราศจากก๊าซเรือนกระจกโลกจะหนาวเย็นจนสิ่งมีชีวิตอยู่อาศัยไม่ได้ เพราะอุณหภูมิในโลกจะต่ำกว่าปัจจุบันมากถึงมากที่สุด ส่วนถ้าก๊าซเรือนกระจกมีมากเกินไป ก็จะเป็นเหตุให้อุณหภูมิสูงขึ้นถึงระดับเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต ซึ่งจุดเริ่มต้นของปรากฏการณ์ดังกล่าว พวกเราเข้าใจมันในสถานการณ์ที่เรียกว่า “ภาวะโลกร้อน” (Global Warming)
นี่เองที่ทำให้หลายคนกังวลเกี่ยวกับภาวะของก๊าซเรือนกระจกที่มากเกินไป ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจอะไรในความกังวลดังกล่าว เพราะจากข้อมูลระบุว่า 2 ใน 3 ของก๊าซเรือนกระจกมาจากการผลิตและใช้พลังงาน ซึ่งกว่าร้อยละ 81 ของพลังงานทั้งหมดนั้น ยังคงเป็นพลังงานถ่านหิน ที่รักษาอัตราส่วนดังกล่าวนี้อย่างมั่นคงและยาวนานมาหลายศตวรรษ
แน่นอนว่า ด้วยปริมาณที่มาก ราคาไม่แพง หาได้ง่าย และมีเสถียรภาพด้านราคา ถ่านหินจึงได้รับความนิยมนำมาใช้ในเรื่องของพลังงาน จนเรื่องของความไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ การสร้างมลพิษสูง หรือการปล่อยคอร์บอนในปริมาณมาก ถูกมองข้ามไปและแม้ว่าจะมีข้อมูลออกมายืนยันว่ามีเทคโนโลยีถ่านหินสะอาด (Clean coaltechnology) ออกมาปรับใช้แล้วก็ตาม แต่กระบวนการการได้มาซึ่งพลังงานจากถ่านหินก็ยังทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจกในปริมาณที่เข้มข้นกว่าตัวเลือกพลังงานแบบอื่นอยู่ดี
คนส่วนหนึ่งบนโลกใบนี้จึงออกมาเรียกร้องถึงการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อเอามาทดแทนถ่านหิน หรืออะไรก็ตามที่จะส่งผลลบต่อการเปลี่ยนแปลงระบบภูมิอากาศ (Climate System) การลงทุนทางการวิจัยจึงเกิดขึ้นด้วยความร่วมมือของทางรัฐบาลในประเทศต่างๆ องค์กรเอกชน ภาคธุรกิจ รวมไปถึงมูลนิธิด้านสิ่งแวดล้อมของบุคคลระดับนำในแวดวงต่างๆ ของโลก จนสามารถผลิตพลังงานทดแทนที่มีราคาต่ำ และใช้งานได้อย่างคุ้มค่า ภายใต้ประสิทธิภาพที่เหนือกว่าถ่านหิน นี่คือหนึ่งก้าวของความร่วมมือในเรื่องสิ่งแวดล้อมที่มีขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมา ด้วยความตระหนักถึงความเสียหายอันร้ายแรงร่วมกันของ
การปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อโลกของเรา ซึ่งจากจุดนั้นเองก็ได้นำไปสู่การจัดความสมดุลระหว่างทิศทางพลังงานกับการพัฒนาเศรษฐกิจ ว่าควรจะต้องไปในแนวทางแบบไหน อย่างไร ผ่านนโยบายสาธารณะ และสัญญาประชาคมในรูปแบบต่างๆ ยกระดับจนกลายมาเป็นข้อตกลงปารีส (Paris Agreement)อันได้แก่
1.ควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรม และมุ่งพยายามควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรม โดยคำนึงว่าการดำเนินการตามนี้ จะลดความเสี่ยงและผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างมีนัยสำคัญ
2.เพิ่มขีดความสามารถในการปรับตัวต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการส่งเสริมการสร้างภูมิต้านทานและความสามารถในการฟื้นตัวจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการพัฒนาประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ โดยไม่กระทบต่อการผลิตอาหาร
3.ทำให้เกิดเงินทุนหมุนเวียนที่มีความสอดคล้องกับแนวทางที่นำไปสู่การพัฒนาที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำและการพัฒนาให้มีภูมิต้านทานและความสามารถในการฟื้นตัวจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
4.กำหนดให้แต่ละภาคีต้องจัดทำ แจ้ง และจัดให้มีการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (Nationally determined contributions : NDCs) อย่างต่อเนื่อง โดยแจ้งทุกๆ 5 ปี ซึ่งจะแสดงถึงความก้าวหน้าที่เพิ่มขึ้น และสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามที่เป็นไปได้สูงสุด ตามหลักความรับผิดชอบร่วมกันในระดับที่แตกต่างโดยคำนึงถึงขีดความสามารถของแต่ละภาคี
ที่น่าสนใจเกี่ยวกับข้อตกลงปารีสก็คือ อิทธิพลความร่วมมือและข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมนี้ ทำให้เกิดปฏิกิริยาในระดับรัฐบาลกลาง และรัฐบาลท้องถิ่นที่จะแข่งขันกันในด้านความก้าวหน้าด้านนโยบายพลังงานที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ แทนที่จะเป็นในระดับนานาชาติ อาทิ สหภาพยุโรป (EU) ตั้งเป้าลดก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ในปี 2050 ก็จะมีเมืองอื่นๆ หรือกลุ่มพันธมิตรประเทศอื่นๆ ที่จะตั้งเป้าหมายที่มีความท้าทายมากกว่า อย่างรัฐแคลิฟอร์เนีย ก็ประกาศใช้พลังงานไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนให้ได้ 50% ในปี 2030 และขยับเป็น 100% ให้ได้ในปี 2045 เป็นต้น ซึ่งก็นับว่าเป็นสีสัน และความหวังอันงดงามของสิ่งแวดล้อมบนโลกใบนี้
จากจุดนั้นเอง นโยบายของประเทศต่างๆ ก็เริ่มที่จะปรับและให้น้ำหนักต่อความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ และลดโทนทางเศรษฐกิจให้เป็นสีเขียวมากขึ้น เช่น สหภาพยุโรป (EU) ก็มีการขยายและปรับปรุงการใช้มาตรการEU Emissions Trading Scheme (EU ETS) สำหรับปี 2021-2030 เพื่อทบทวนการเรียกเก็บภาษีจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคอุตสาหกรรมบางประเภทที่ใช้พลังงานในการผลิตสูง รวมไปถึงการปรับสินค้าที่นำเข้าซึ่งมีส่วนในการปล่อยคาร์บอนสูง เช่นเดียวกับการเสียภาษีของสินค้าที่ผลิตในกลุ่ม EUรวมไปถึงการออกข้อบังคับการห้ามใช้พลาสติกแบบใช้แล้วทิ้งอีกต่อไป และสนับสนุนเรื่องการนำกลับมาใช้ของบรรจุภัณฑ์ต่างๆ เหล่านี้ได้ถูกตราเอาไว้เป็นข้อกำหนดทางกฎหมายการค้า หรือข้อปฏิบัติที่จะต้องเกิดขึ้นต่อไปในการร่วมธุรกิจกับกลุ่มประเทศใน EU
หรือที่กำลังมีการพูดถึงกันอยู่ตอนนี้ คือนโยบาบด้านสิ่งแวดล้อมของ “โจ ไบเดน” ในการเสนอตัวเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ประกาศจะยกเลิกภาษี Fossil Fuel คือ การยกเลิกการสนับสนุนด้านภาษีต่อธุรกิจน้ำมันและก๊าซ รวมไปถึงการผลิตถ่านหิน และการให้เรียกเก็บเป็นค่าใช้จ่ายต่อกิจกรรมการสำรวจแหล่งพลังงาน อีกทั้งการเสนอให้มีการให้ยกระดับอาคารที่เป็นตึกสูง 4 ล้านแห่ง และบ้านที่อยู่อาศัย2 ล้านหลัง ให้เป็นระบบพลังงานสะอาดในอีก 4 ปีข้างหน้า รวมไปถึงการเพิ่มกำลังการผลิตของพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม ด้วยการติดตั้งแผงโซลาร์ 500 ล้านหน่วย และกังหันลมแบบ Wind Turbine อีก 6 หมื่นหน่วย และการสร้างสถานีชาร์จพลังงานไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ 5 แสนแห่งทั่วสหรัฐ
ทั้งหมดนี้ เป็นการประมวลทิศทางพลังงานโลก เพื่อให้มองเห็นภาพได้อย่างชัดเจนว่า สิ่งแวดล้อมกับการพัฒนาทางเศรษฐกิจก็สามารถไปด้วยกันได้ ขอแค่คนในระดับตัดสินใจมีวิสัยทัศน์อันกว้างไกล และรู้จักที่จะวางแผนนโยบายให้เหมาะสม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี