เป็นที่ทราบกันว่า โลกในเวลานี้มีสถานการณ์ความแตกต่างทางความคิดเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นประเด็นทางการเมือง เรื่องทางเพศปัญหาสิ่งแวดล้อม การเรียกร้องคุณภาพชีวิตที่ดี หรือแม้แต่สิทธิของผู้อพยพที่ควรจะเป็น ฯลฯ ซึ่งนำไปสู่การรณรงค์ด้วยการชวนกันมาแสดงออกด้วยกระบวนการต่างๆ นานา เพื่อนำไปสู่การรับรู้ของสังคม และต่อยอดไปถึงการตอบรับจากผู้มีอำนาจในประเด็นที่ได้รับการสื่อสาร ประเด็นไหนสังคมเห็นคล้อยตามและมีการให้ความสนับสนุนที่หนักแน่น การเปลี่ยนแปลงก็รวดเร็วทันควัน ไม่ว่าจะผ่านระบบนิติบัญญัติหรือไม่ก็ตาม ส่วนประเด็นไหนอ่อนไหวด้วยเหตุผล นำไปสู่ผลประโยชน์ของคนบางกลุ่มเท่านั้น หรือลิดรอนสิทธิของคนส่วนใหญ่ที่ควรจะได้ ก็จะกลายเป็นวาระที่ถูกทำให้ลืมไปด้วยความไม่ชัดเจนของตัวผู้สนับสนุนเอง
แต่สำหรับประเด็นที่สุ่มเสี่ยงต่อการมีปัญหาใหญ่ตามมา อย่างเรื่องศาสนา และการเมือง รวมไปถึงเรื่องของความเหลื่อมล้ำ ซึ่งสามารถกระทบไปถึงเรื่องพฤติกรรม และความรู้สึก ทั้งจากผู้ให้ความสนับสนุน และผู้ที่ทำการต่อต้าน ยิ่งถ้าจำนวนของทั้งสองกลุ่มเหล่านี้มีมากพอๆ กัน มันก็เป็นงานยากในการบริหารจัดการความเข้าใจ และไกล่เกลี่ยให้ทุกฝ่ายสามารถพอใจในคำตอบที่จะได้ออกมาอย่างเหมาะสม ดังนั้นการผลิตเครื่องมือขึ้นมาช่วยประสานความเข้าใจในประเด็นที่มีความเห็นแย้ง เพื่อระดมค้นหาคำตอบที่น่าจะพอใจที่สุดของทุกๆ ฝ่าย จึงเป็นหนทางสำคัญในการดึงฟืนออกจากไฟที่กำลังเผาไหม้กรอบกติกาในการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขให้มอดดับไปในเบื้องต้นเสียก่อน จากนั้นความคืบหน้าของข้อตกลงจะขยับไปในรูปแบบไหนอย่างไร ก็ค่อยมากำหนดกลไกอันจะสามารถพาไปสู่เป้าหมายได้ในกรอบของการประนีประนอมกันอีกครั้งภายหลังจากที่ทุกฝ่ายเริ่มปรับใจไปสู่จุดหมายปลายทางเดียวกันได้เสียแล้ว
ต่อไปนี้จึงเป็นรูปแบบการระงับความขัดแย้งที่น่าสนใจ ซึ่งได้พยายามรวบรวมมาจากกรณีศึกษาปัญหาของหลายประเทศในรอบหลายทศวรรษที่ผ่านมา เพื่อเป็นอีกหนึ่งแรงสนับสนุนในการหาทางออกของความขัดแย้ง และหลีกเลี่ยงความรุนแรง ที่อาจเกิดขึ้นได้ในทุกเวลา และโดยส่วนตัวเห็นว่า ไม่ควรวางใจในทุกนาทีที่ข้อเสนออันเป็นปัญหายังไม่สามารถหาข้อยุติที่ทุกฝ่ายให้การยอมรับได้
ในหนังสือ “หนทางไกลสู่เสรีภาพ” (Long Walk to Freedom: Nelson Mandela) ว่าถึงกลยุทธ์ในการจัดการความขัดแย้งทางเชื้อชาติและสีผิวที่แอฟริกาใต้ ในแนวทางของ “เนลสันแมนเดลา” เอาไว้อย่างน่าสนใจว่า
หนึ่ง ปรับปัญหาส่วนบุคคล ให้เป็นปัญหาของกลุ่มหรือเชิงโครงสร้างอาทิ การถูกกดขี่จากคนผิวขาว ต้องไม่เกลียดคนผิวขาว แต่ต้องไปจัดการที่ต้นตอของความเกลียด คือ รัฐบาลของคนผิวขาวที่ออกแนวนโยบายและสร้างทัศนคติเลวร้ายแบบนี้ออกมา
สอง การปฏิบัติที่เป็นความเหลื่อมล้ำต่อบุคคล หรือกลุ่มต่างๆ ย่อมสร้างความเกลียดชังต่อกันให้ทวีคูณขึ้นไม่ว่าจะทางความรู้สึกโดยตรงเมื่อได้รับรู้ หรือการถูกปลุกปั่นในประเด็นของมาตรฐานที่ไม่เท่าเทียมกัน ในแอฟริกาใต้นั้นไปในแนวราบ คือการเลือกปฏิบัติต่อสีผิว หรือเชื้อชาติ ส่วนอีกหลายประเทศอาจจะเป็นในแนวดิ่ง คือเรื่องของฐานะ ชนชั้น และการกระจายทรัพยากร เป็นต้น
และสาม ผู้นำที่ได้รับการยอมรับ หรือผู้ไกล่เกลี่ย จำเป็นต้องแสดงความเป็น “เอกภาพ” ของตนอย่างชัดเจน อย่าให้ตัวเองต้องไปพัวพันอยู่ในกลไกแห่งการได้มาซึ่งอำนาจในการควบคุมอีกฝ่าย ซึ่งตรงนี้เองที่ “เนลสัน แมนเดลา”ใช้เวลาในการพิสูจน์ตัวเองถึง 27 ปีในการถูกจองจำ เพื่อยืนยันเจตนารมณ์ของความเท่าเทียมจากพื้นที่ที่ขาดความเท่าเทียมอย่างถึงที่สุด
ส่วนหนังสือ “กระบวนการสันติภาพอาเจะห์ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย” ของสถาบันพระปกเกล้า โดย “เมธัส อนุวัตรอุดม” ที่เล่าถึงกระบวนการสันติภาพที่เกิดขึ้น เพื่อยุติความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลอินโดนีเซียกับกลุ่มขบวนการปลดปล่อยอาเจะห์หรือ GAM (Gerakan Aceh Merdeka : GAM) ที่มีเป้าหมายในการเรียกร้องความเป็นเอกราชจากประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งประสบความสำเร็จในการยุติความรุนแรง และบรรลุข้อตกลงสันติภาพ ในปี 2548 หลังจากใช้เวลากว่า 6 ปี ในการเจรจา ได้เผยองค์ประกอบสำคัญสำหรับสันติภาพที่เกิดขึ้น คือ
หนึ่ง บรรยากาศทางการเมือง ที่เปิดให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น ภายหลังจากที่ “ประธานาธิบดีซูฮาร์โต” พ้นจากตำแหน่ง และ “ประธานาธิบดียูซุฟ ฮาบิบี้” ได้ให้ความสำคัญต่อการกระจายอำนาจ และจำกัดบทบาทของทหารในทางการเมือง ทำให้ภาคประชาสังคม องค์กรพัฒนาเอกชนต่างๆ ตลอดจนนักศึกษาทั้งในจาการ์ตาและในอาเจะห์ เริ่มมีชีวิตชีวา มีการเคลื่อนไหวและแสดงออกทางการเมืองมากขึ้นกว่าในอดีต กล้าที่จะริเริ่มดำเนินการในสิ่งที่ตนเองคิดว่าจะทำให้เกิดสันติสุขขึ้นได้ในอาเจะห์
สอง การเชื่อมประสานของภาคประชาสังคม และนักศึกษา เพื่อเชื่อมต่อรัฐบาลและฝ่ายกลุ่มขบวนการปลดปล่อยอาเจะห์ ให้ริเริ่มการพูดคุยกัน จากวงพูดคุยเล็กๆ ระหว่างรัฐบาลและฝ่ายกลุ่มขบวนการปลดปล่อยอาเจะห์ ที่เกิดขึ้นมาเพื่อแสดงความเห็นด้วยในความเห็นต่างร่วมกันบางเรื่อง จนพัฒนามาเป็นการพูดคุยอย่างเป็นทางการในเงื่อนไขอีกหลายๆ ข้อทั้งที่ทั้งเห็นด้วยและเห็นต่างกัน เพื่อหาผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงกันมากที่สุด
และสาม การเปิดโอกาสให้องค์กรที่สามได้เข้ามาทำหน้าที่เป็นคนกลางในการเจรจาพูดคุย โดยในกรณีของอาเจะห์นี้เป็นองค์กรระหว่างประเทศคือ HDC ซึ่งทำงานช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในพื้นที่อยู่ก่อนหน้านี้ ซึ่งก็ทำหน้าที่ในการประสานการเจรจาพูดคุยได้อย่างดี จนเกิดข้อตกลงร่วมกันขึ้น แต่ก็อยู่บนความไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน และนำมาสู่การต่อสู้ห้ำหั่นกันอีกระลอก ก่อนที่ความสูญเสียจะหยุดความรุนแรง และทำให้ฝ่ายการเมืองเริ่มกลับมาเจรจาอีกครั้ง โดยมีคนกลางเป็น The Crisis Management Initiative(CMI) ที่เริ่มการเจรจาครั้งใหม่ด้วยการสนับสนุนจากนานาประเทศอย่างเต็มที่ อันเนื่องมาจากสถานะส่วนตัวของอดีตประธานาธิบดีฟินแลนด์ ผู้ทำหน้าที่เป็นคนกลาง จนนำไปสู่ความสำเร็จ
นี่เป็นเพียง 2 กรณีตัวอย่าง ที่ได้สรุปบทเรียนถอดเป็นเครื่องมือในการสร้างพื้นที่ของความสมานฉันท์ออกมานำเสนอเท่านั้น (ซึ่งมีแง่มุมที่คล้ายกัน) ยังมีอีกหลายประเทศในหลายกรณีที่มีตัวอย่างบทเรียนในการสร้างความปรองดองที่น่าสนใจ หรือแม้แต่ประเทศไทยของเราก็มีการตั้งคณะกรรมการเพื่อยุติความขัดแย้งของคนในประเทศหรือฝ่ายการเมืองขึ้นมามากมาย จนกลายเป็นหนังสือบทสรุปก็หลายเล่ม ดังนั้น โดยส่วนตัวเชื่อว่า ถ้าร่วมแรงร่วมใจอยากไปสู่ความสำเร็จของการยุติความขัดแย้งที่แท้จริง แนวทาง เครื่องมือ และกลไกนั้น ไม่ใช่ปัญหาหรืออุปสรรคที่สำคัญ เพราะที่ผ่านมาโลกของเรามีประสบการณ์ในรูปแบบนี้มาอย่างโชกโชน และได้ประดิษฐ์ทางออกเอาไว้ให้เราเลือกใช้อย่างมากมาย แต่สุดท้ายก็คงต้องมาสะดุดอยู่ตรงที่หัวใจนี่แหละ ว่าอยากให้บ้านเมืองของเราเดินต่อไปแบบไหน ใครทำอะไรย่อมรู้กันดี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี