มีหลายเหตุการณ์ฉุกเฉินที่ทำให้เจ้าของสัตว์เลี้ยงเกิดความวิตกกังวลซึ่งหลายคนไม่ทราบว่าควรปฏิบัติตัวอย่างไร วันนี้เรามาทำความเข้าใจถึงเหตุฉุกเฉินในสุนัขและแมวกัน ว่ามีอะไรที่เจ้าของสัตว์ควรทราบและมาคุยกันถึงวิธีการที่เราจะสามารถป้องกันได้เบื้องต้น โดยคลินิกฉุกเฉิน คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยครับ
@อาการเช่นไรจึงจะเรียกว่าสัตว์อยู่ในภาวะฉุกเฉิน ที่ต้องพามารับการรักษาที่แผนกฉุกเฉินโดยเร่งด่วน
เมื่อเจ้าของพบอาการต่างๆ ดังนี้ เราจัดว่าสัตว์อยู่ในสภาวะฉุกเฉิน
1.หายใจลำบาก เช่น หายใจมีเสียงดัง เยื่อเมือกที่ลิ้นเป็นม่วงหรือใช้การอ้าปากช่วยในการหายใจ เป็นต้น
2.มีเลือดไหลไม่หยุด
3.ช่องท้องขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยอาจจะมีหรือไม่มีอาการอาเจียนร่วมด้วยก็ตาม
4.ไม่สามารถปัสสาวะได้ โดยสังเกตได้จากการที่สัตว์เลี้ยงแสดงอาการเบ่งปัสสาวะแต่ไม่มีปัสสาวะไหลออกมา
5.อุจจาระเป็นเลือด ปัสสาวะเป็นเลือด รวมถึงอาเจียนเป็นเลือด
6.ตัวร้อนจัด อุณหภูมิร่างกายเพิ่มขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว
7.แม่สัตว์ตั้งครรภ์จนครบกำหนดคลอดแล้ว แต่ไม่สามารถคลอดได้ภายใน 1 ชั่วโมง หลังจากมีอาการเบ่งหรือพยายามคลอด และ/หรือไม่สามารถคลอดได้ภายใน 15 นาที หลังจากมีน้ำคร่ำสีเขียว หรือมีส่วนใดส่วนหนึ่งของลูกสัตว์โผล่ออกมาจากช่องคลอดแล้ว
8.สูญเสียความสามารถในการทรงตัวแบบเฉียบพลัน ยืนแล้วล้ม
9.มีอาการชัก/เกร็ง
10.ได้รับบาดเจ็บ จากการถูกรถชน หรือตกจากที่สูง
11.การได้รับสารพิษโดยการกิน
12.สภาพสัตว์เลี้ยงที่ไม่รู้สึกตัว
หากสัตว์เลี้ยงแสดงอาการข้อใดข้อหนึ่ง แสดงว่าควรได้รับการรักษาอย่าง “ทันท่วงที”
แต่หากนอกเหนือจากอาการเหล่านี้ ก็ยังถือว่าสัตว์ยัง “ไม่อยู่ในสภาวะฉุกเฉิน” ซึ่งอาจยังไม่ถึงกับต้องรีบพาไปยังแผนกฉุกเฉินทันที (กรณีที่เกิดเหตุการณ์ในช่วงกลางคืน) แต่ยังสามารถปฐมพยาบาล และให้พาสุนัขและแมวมาพบคุณหมอที่แผนกอายุรกรรมในวันรุ่งขึ้นช่วงเวลาทำการตามปกติของโรงพยาบาล
@ทำไมสุนัขที่มีภาวะลมแดด (heat stroke) จึงไม่ควรอาบน้ำเย็นจัดหรือแช่น้ำแข็ง
เนื่องจากในขณะที่อุณหภูมิร่างกายสูง ร่างกายจะพยายามปรับตัวโดยที่ทำให้หลอดเลือดจะขยายเพื่อระบายความร้อน แต่การใช้น้ำเย็นจัดหรือน้ำแข็ง จะทำให้หลอดเลือดหดตัวได้ โดยเฉพาะหลอดเลือดบริเวณผิวหนัง ซึ่งจะส่งผลให้สัตว์ป่วยไม่สามารถระบายความร้อนออกจากภายในร่างกายได้ ดังนั้นจึงควรใช้น้ำเย็นธรรมดาอาบ หรือเช็ดตัวเพื่อให้อุณหภูมิร่างกายค่อยๆ ลดลงจะได้ผลดีกว่า
@สภาวะการคลอดยาก เราจะทราบได้อย่างไรว่า เมื่อไหร่ควรได้รับการผ่าคลอดฉุกเฉิน
แม่สุนัขที่เริ่มใช้เวลาเบ่งคลอดนานๆ หรือมีการเบ่งคลอดรุนแรง โดยเฉพาะสุนัขที่มีประวัติการคลอดยาก เหล่านี้ควรปรึกษาสัตวแพทย์ตั้งแต่เวลาใกล้คลอด เพื่อรับการวินิจฉัยเพิ่มเติม ซึ่งคุณหมออาจขอทำการอัลตราซาวนด์เพื่อ ตรวจดูสภาพอัตราการเต้นของหัวใจ รวมถึงดูขนาดของลูกสุนัขในมดลูก และอาจต้องทำการล้วงเพื่อช่วยคลอดหรืออาจต้องให้ยากระตุ้นคลอดก่อนในเบื้องต้น และประเมินถึงความจำเป็นในการผ่าคลอด
ซึ่งสถานการณ์ที่บอกว่าควรต้องทำการผ่าคลอดโดยเร่งด่วนโดยมีรายละเอียดคร่าวๆ ดังนี้
-แม่สุนัขเบ่งคลอดนานกว่า 2-4 ชม. หรือมีการเบ่งคลอดรุนแรง
-ลูกสุนัขแต่ละตัวคลอดห่างกันมากกว่า 2 ชม.
-ล้วงคลอดแล้วพบว่าลูกสุนัขคลอดผิดท่า และไม่สามารถจัดท่าคลอดปกติได้
-อัลตราซาวนด์แล้วพบว่าอัตราการเต้นหัวใจของลูกสุนัขน้อยกว่า 180 ครั้งต่อนาที
นอกจากนี้สายพันธุ์ของสุนัขเองก็มีผลต่อการตัดสินใจผ่าคลอดอีกด้วย สำหรับสายพันธุ์ที่มักจะต้องได้รับการผ่าคลอดได้แก่ สุนัขพันธุ์หน้าสั้น พันธุ์ที่มีศีรษะกลม หรือมีสัดส่วนของหัวกะโหลกโตเมื่อเทียบกับขนาดลำตัว เช่น บูลด็อก บ๊อกเซอร์ หรือชิวาว่า เป็นต้น
เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในการผ่าคลอดฉุกเฉินของแม่สุนัขและลูกๆ เจ้าของควรพาสัตว์เลี้ยงมาตรวจเช็คครรภ์ และเอกซเรย์ หรืออาจต้องทำการอัลตราซาวนด์ ในช่วงกลางถึงท้ายของการตั้งท้องเพื่อพิจารณาว่าควรได้รับการผ่าคลอดหรือไม่
เรื่องราวของเหตุการณ์ฉุกเฉินในสุนัขและแมวยังไม่หมดแค่นี้นะครับ สัปดาห์หน้าเรามาติดตามกันต่อครับ
หมอโอห์ม
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร.ทิลดิสร์ รุ่งเรืองกิจไกร
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี