วิตามิน D เป็นวิตามินที่มีความสำคัญต่อความเป็นอยู่ที่ดีของร่างกาย เช่น ต่อระบบกล้ามเนื้อ โครงกระดูก แต่ไม่ใช่แค่นี้ ยังมีผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน มะเร็งบางชนิด โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดแดง และระบบอื่นๆ ที่กำลังมีการศึกษาอยู่ในปัจจุบัน
เราได้วิตามิน D มาอย่างไร?
หลักๆ คือ จากแสงแดด และจากอาหาร
80-90% ของวิตามิน D ร่างกายมนุษย์สร้างได้จากการที่ผิวหนังได้รับแสงแดดที่มีรังสี ultraviolet B หรือ UVB ที่มีความยาวคลื่น 290-319 นาโนเมตร เมื่อ UVB มากระทบที่ผิวหนัง 7 dehydrocholesterol ในเซลล์ผิวหนังจะถูกเปลี่ยนเป็น precholecalciferol (previtamin D3) และ vitamin D3 ตามลำดับ จากนั้นจะถูกลำเลียงไปสู่เลือด และจับตัวกับวิตามิน D binding protein ซึ่งจะต้องไปที่ตับ และไต ในขบวนการต่อไป
ประเด็นที่สำคัญสำหรับการสร้างวิตามิน D จากแสงแดด คือ เราจะต้องถูกแดดในช่วง 10.00-15.00 น. เพราะในช่วงเช้า-เย็นจะมี UVB น้อยมาก แต่มีใครบ้างละครับที่ไปตากแดดช่วง10.00-15.00 น. ยกเว้นชาวนา ผู้ใช้แรงงาน หรือแคดดี้ที่ถือถุงกอล์ฟให้นายตามสนามกอล์ฟ แต่แม้แต่แคดดี้ที่ผมเห็นยังใส่เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว โพกหัว เปิดเฉพาะลูกตาเท่านั้น!? คนธรรมดาจะหนีแดด แม้แต่คนที่ตีกอล์ฟยังทาครีมที่บริเวณผิวหนังที่จะถูกแดด ครั้งละเป็นกะละมัง!? (ยกเว้นผมในอดีตในตอนแรกๆ ของช่วงที่ตีกอล์ฟ)
การสังเคราะห์วิตามินดีที่ผิวหนังจะเกิดมากหรือน้อยนั้น ขึ้นอยู่กับปริมาณ UVB ที่ได้รับและจำนวน 7-dehydrocholesterol ที่มีอยู่ของบุคคลนั้น โดยมีปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
1) ช่วงเวลาของวัน ในช่วงเช้าและช่วงเย็นจะมี UVB แผ่มาถึงผิวโลกน้อยมาก ทำให้ช่วงเวลานี้ผิวหนังมีการผลิตวิตามินดีได้น้อย2) มุมตกกระทบของแสงอาทิตย์และฤดูกาล ในช่วงฤดูร้อนมุมระหว่างแนวดิ่งเหนือศีรษะและแนวลำแสงอาทิตย์ (zenith angle) จะน้อยที่สุดความเข้มของ UVB ที่มาถึงผิวโลกจึงมีมากที่สุด 3) ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ของถิ่นที่อยู่อาศัย ตำแหน่งใกล้เส้นศูนย์สูตรจะมีความเข้มของ UVB มากที่สุด 4) ระดับความสูง ที่ระดับความสูงมาก จะได้รับUVB มาก เนื่องจากการเดินทางของ UVB ผ่านชั้นบรรยากาศมีระยะทางสั้นลง 5) มลภาวะสิ่งแวดล้อม อาทิ เมฆ หมอกควัน ฝุ่นละอองในอากาศ ต่างก็สามารถทำให้เราได้รับ UVB น้อยลง 6) สารที่ก่อให้มีการสะท้อนกลับของแสง เช่น หิมะ ทราย น้ำ กระจก พลาสติก มีผลทำให้ UVB สะท้อนกลับ จึงมีผลทำให้เราได้รับ UVB น้อยลง7) พฤติกรรมการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น การทาครีมกันแดด หรือชนิดของเสื้อผ้าที่สวมใส่ ต่างก็มีผลต่อการสังเคราะห์วิตามินดีที่ผิวหนัง 8) สีผิว สีผิวของแต่ละบุคคลจะแตกต่างกันตามพันธุกรรมและปัจจัยสิ่งแวดล้อม ตัวกำหนดสีผิวคือปริมาณเม็ดสี melanin ปกติแล้วเม็ดสี melanin ที่ผิวหนังจะทำหน้าที่เป็นตัวกันแสงโดยการดูดซับ UVB ไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวหนังเกิดการไหม้แดด ดังนั้นคนที่มีผิวสีเข้มจึงต้องได้รับแสงแดดที่นานกว่าคนผิวขาวในการที่จะสังเคราะห์วิตามิน D ให้ได้ปริมาณเท่ากัน 9) อายุ เมื่อมีอายุมากขึ้นการสังเคราะห์วิตามิน D ที่ผิวหนังจะน้อยลง เนื่องจาก 7-dehydrocholesterol ซึ่งเป็นสารต้นกำเนิดของ vitamin D3 ที่ผิวหนังมีปริมาณลดลงตามอายุ ดังนั้นผู้สูงอายุจึงมีการสังเคราะห์วิตามินดีที่ผิวหนังได้น้อยกว่าวัยหนุ่มสาวหากให้ได้รับแสงแดดในปริมาณที่เท่ากัน
ฉะนั้นคนไทยน้อยคนมากที่จะได้รับแสงแดดในช่วงเวลาที่เหมาะสม ฉะนั้นการสร้างวิตามิน D จากแสงแดด จึงน่าจะขาดในคนกลุ่มใหญ่ มีข้อมูลว่าคนในกรุงจะขาดวิตามิน D มากกว่าคนชนบท ซึ่งก็ไม่เป็นที่แปลกใจ เพราะคนชนบทตากแดดมากกว่าอยู่แล้วอย่างแน่นอน
คนสูงอายุตามปกติจะมีการสร้างวิตามินจากผิวหนังน้อยลงรวมทั้งการดูดซึมวิตามินจากอาหารน้อยลงด้วย จึงควรมีระดับวิตามินในเลือดต่ำกว่าผู้ที่มีอายุน้อยกว่า แต่ข้อมูลของไทยพบว่าระดับวิตามิน D ของผู้สูงอายุไทยสูงกว่าผู้ที่มีอายุน้อย ซึ่งคงมีเหตุผลอธิบายได้ว่าผู้สูงอายุเกษียณแล้วจึงมีโอกาสที่จะไปเที่ยว ออกนอกบ้านมากกว่า ผิวหนังจึงได้รับแสงแดดมากกว่า
วิตามิน D ที่อยู่ในอาหาร คือ พืช เช่น เห็ดหอม ปลาที่มีไขมันสูงเช่น ปลาแซลมอน ซาร์ดีน แมคเคอเรล ทูน่า น้ำมันตับปลาเนยแข็ง ซึ่งจะต้องทานในปริมาณมากจริงๆ จึงจะพอต่อความต้องการของร่างกาย เช่น ปลาทูต้องทานประมาณวันละ 10-12 ตัวปลาแซลมอนครึ่งกิโลกรัมทุกวัน หรือเห็ดหอมตากแห้ง (โดนแดด) วันละ 1-2 ขีดทุกวัน ฯลฯ
ฉะนั้นจะเห็นได้ว่าจากทฤษฎี คนไทย(และคนชาติอื่นๆ) น่าจะขาดวิตามิน D เพราะได้แดดไม่พอ ทั้งๆ ที่ประเทศเรามีแดดมาก และทานอาหารที่มีวิตามิน D ไม่พออย่างแน่นอน
ฉะนั้นคนไทยเราควรตากแดดในช่วงเวลา 10.00-15.00 น. ทุกวัน วันละ 6-8 นาที ถ้ามากเกินไปก็อาจจะเกิดโรคมะเร็งของผิวหนังได้ คนที่มีผิวคล้ำ ดำ จะสร้างวิตามิน D ได้น้อยกว่าคนที่มีผิวขาว
ขณะนี้แพทย์ยังไม่แนะนำให้ทุกๆ คนตรวจหาระดับวิตามิน D ในเลือด เพราะมีราคาแพง (900 บาทที่จุฬาฯ) แต่ควรปฏิบัติตนเองเพื่อเพิ่มโอกาสที่จะได้วิตามิน D ที่เพียงพอจากแสงแดด และควรตรวจหาระดับวิตามิน D ในเลือด ในกรณีที่แพทย์แนะนำ
ข้อมูลบางส่วนได้มาจากสมาคมต่อมไร้ท่อแห่งประเทศไทย ผ่าน นพ.ชัยชาญ ดีโรจน์วงศ์ จึงขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วย
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี