โรคนอนกรน พบได้บ่อยในคนไทยผู้ชายราวร้อยละ 40 ผู้หญิงราวร้อยละ 20 นับว่าเป็นความผิดปกติขณะหลับอย่างหนึ่ง เกิดในขณะหลับนั้นมีการหายใจติดขัด ช่องทางเดินหายใจแคบลงกว่าปกติ ลมหายใจเข้าออกแรงกระแทกทางเดินหายใจจนเกิดเสียงดังผิดปกติขึ้น ในรายที่เป็นมากมีโรคหยุดหายใจขณะหลับตามมา งานวิจัยค้นคว้าตำราเกี่ยวข้องกับโรคหยุดหายใจหรือหายใจผิดปกติขณะหลับมีเผยแพร่ออกมาอย่างกว้างขวางมากมายในระยะสามสิบปีนี้ สังเกตกันได้เสมอว่าคนอ้วนมีอาการนี้ได้มากกว่าคนธรรมดาถึง 3 เท่า แน่นอนว่าอาการนี้ไม่ได้ผูกขาดอยู่กับคนอ้วน ในผู้ชาย หรือในผู้ใหญ่เท่านั้นเท่านั้น
ผลิตภัณฑ์ที่ประกาศโฆษณาในทางการค้าอยู่อย่างหลากหลายมากกว่า 400 ชนิด มีวิธีที่แตกต่างกัน ออกไป เช่น การใช้ผ้าเทปติดก้อนหินหรือลูกบอลไว้ที่แผ่นหลังกับชุดนอนเมื่อนอนหงายทำให้รู้สึกเจ็บต้องนอนตะแคง ซึ่งเชื่อว่าอาการนอนกรนจะลดลงในรายที่มีอาการมากขณะนอนหงาย ผลิตภัณฑ์อีกชนิดหนึ่งทำการรัดคางให้แน่นเพื่อไม่ให้อ้าปากเวลานอน โดยเชื่อกันว่าเมื่ออ้าปากหายใจจะมีเสียงกรนเมื่อหุบปากและหายใจทางจมูกได้ เสียงกรนจะลดลง ส่วนที่หนุนคอหรือหมอนชนิดพิเศษหนุนบริเวณศีรษะและคอ เชื่อกันว่าทำให้คางและลิ้นไม่ตกไปด้านหลัง อาจได้ผลในบางรายหรือไม่ได้ผลเลยก็มี สำหรับท่อใส่ทางจมูกหรือใส่ผลิตภัณฑ์บางอย่างในปากเพื่อดึงลิ้นมาข้างหน้าไม่ให้ตกไปด้านหลังมีรายงานกันว่าดีในบางรายแต่เมื่อใช้แล้วก่อให้เกิดความรำคาญอย่างมากจนถึงกับทนไม่ได้ก็มี ผลิตภัณฑ์ถ่างขยายจมูกทั้งชนิดที่สอดเข้าในรูจมูกหรือปิดพลาสเตอร์ภายนอกจมูก ไว้ถ่างขยายบริเวณปีกจมูก ก็มีวางจำหน่ายเช่นกัน มีผลิตภัณฑ์ที่ใช้ไฟฟ้าหลากหลายชนิด โดยผลิตภัณฑ์นั้นสามารถตรวจจับเสียงกรนได้แล้วจะนำเสียงนั้นไปที่หูฟังของเจ้าของ เมื่อเสียงดังเกินทำให้ตกใจตื่นหรือหลับไม่ลึกทำให้อาการนอนกรนลดลงแต่เมื่อหลับลึกลงอีกครั้ง เสียงกรนดังขึ้นอีกจนเสียงดังมาก กระตุ้นให้ผู้ป่วยตกใจตื่นขึ้นอีกครั้ง เป็นอย่างนี้วนเวียนไปตลอดทั้งคืน แต่วิธีการเหล่านี้ดูแล้วผู้ป่วยจะต้องทนรำคาญอยู่ตลอดทั้งคืน ถึงวิธีนี้จะได้ผลผู้ป่วยก็ต้องทนหลับๆ ตื่นๆ พักผ่อนได้ไม่เพียงพอมีการใช้ยาสำหรับพ่นบริเวณคอเพื่อหล่อลื่นให้ความชุ่มชื้นลำคออากาศผ่านได้สะดวกไม่กระแทกให้เกิดเสียงดังใช้พ่นก่อนนอน เหล่านี้เป็นต้น ผู้ป่วยนำไปใช้มีทั้งที่ได้ผลและไม่ได้ผลคละเคล้า กันไป
ตัวผู้ป่วยเองไม่ค่อยจะรับรู้ว่าตนเองมีอาการกรน ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะรู้ได้จากผู้ที่อยู่ใกล้ชิด เช่น ภรรยา บุตร ธิดา ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง ผู้ร่วมงานหรือผู้ที่ไปอบรมสัมมนา เดินทางท่องเที่ยวด้วยกันแล้วได้มีโอกาสรับรู้ถึงอาการนี้จากการบอกกล่าวของผู้ป่วย บางครั้งผู้ป่วยอาจจะจำอาการนี้ได้ดีว่าเป็นสัญลักษณ์ของความขบขันนำมาซึ่งความกระอักกระอ่วนใจทำให้เสียบุคลิกภาพเป็นที่เย้ยหยันหรือก่อความรำคาญให้กับผู้อื่น ในทำนองเดียวกันก็ก่อความรำคาญให้กับตนเองด้วย ผู้ป่วยเองมักจะหลับจนไม่รู้เรื่อง ไม่ได้ยินเสียงกรนของตนเอง แต่ก็มีผู้ป่วยจำนวนน้อยอยู่กลุ่มหนึ่งซึ่งพอจะสังเกตอาการนอนกรนของตนเองได้ช่วงเวลาใกล้ตื่นที่เริ่มรู้สึกตัวได้ยินเสียงกรน บางคนได้ยินเสียงกรนขณะที่ตนเองง่วงและกำลังจะเคลิ้มหลับ
ปัญหาทางเศรษฐศาสตร์และสังคม
การนอนกรน อาจเป็นปัญหาเพียงเล็กน้อยหรือไม่ก่อให้เกิดปัญหาเลยในบางคนหรือบางครอบครัว แต่ในทางตรงกันข้ามเสียงกรนก่อให้เกิดปัญหาทั้งส่วนตัวของผู้ที่มีอาการเองหรือก่อปัญหาให้กับสมาชิกในครอบครัวผู้ที่ใกล้ชิดอย่างมาก ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดบางคนไม่เดือดร้อนแม้เสียงดังมาก แต่บางคนแม้เสียงดังเพียงเล็กน้อยก็ทำให้นอนไม่หลับเสียงกรนบางครั้ง น่ารำคาญเนื่องจากดังมากเสียงดังไม่สม่ำเสมอเป็นเสียงอึกทึก เสียงฟังดูน่าตกใจราวกับว่าผู้ที่มีอาการจะหยุดหายใจไปเลย ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดบางคนตกใจตื่นไม่สามารถที่จะข่มตาหลับลงได้ เกิดอาการนอนไม่หลับส่งผลให้เกิดอาการหงุดหงิดพาลโมโหแสดงให้เห็นถึงปัญหาที่พบเจอจนบางครั้งอาจนึกไม่ถึงว่าจะเกิดขึ้นได้ ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดซึ่งนอนหลับไม่เพียงพอ การทำงานในตอนกลางวันขาดประสิทธิภาพ เฝ้าแต่หวาดผวาว่าคืนต่อไปจะเป็นค่ำคืนที่นำมาซึ่งการนอนไม่หลับและฝันร้ายอาจนำไปสู่ปัญหาครอบครัวที่ซับซ้อนยุ่งยากเสริมปัญหาในครอบครัวที่มีอยู่เดิมแล้วปัญหาการนอนไม่หลับการพักผ่อนไม่เพียงพอก่อให้เกิดการหย่าร้างขึ้น ในบางแห่งศาลรับฟังที่จะพิพากษาให้เป็นหัวข้อหนึ่งในการหย่าร้างได้ ซึ่งแต่เดิมมานั้นในทางกฎหมายแล้วไม่อาจจะใช้อ้างในการหย่าร้าง ในบางแห่งเริ่มตระหนักว่าทำให้เกิดปัญหา บางรายยังฝังใจว่าจะต้องหาคู่ชีวิตที่ไม่นอนกรนถ้าเขาหรือเธอสามารถจะเลือกได้จะไม่ขอแต่งงานกับคนที่มีอาการนี้เลยจากประสบการณ์ของผู้เขียนในเมืองไทยไม่ถึงขั้นนี้แต่มักจะเป็นการแยกห้องนอน การเฉยเมยต่อกัน ทำให้การพบปะพูดคุย ความสัมพันธ์ในครอบครัวเปลี่ยนไป
ปัญหาต่อสุขภาพ
ผู้ที่มีอาการนอนกรนอยู่เป็นประจำเกิดการหายใจติดขัดอยู่เป็นเวลานานเป็นเดือนเป็นปีมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่างๆ คือ โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคสมองขาดเลือด การหลับไม่ต่อเนื่อง อาการง่วงนอนมากผิดปกติตอนกลางวัน โรคหยุดหายใจขณะหลับ
การดูแลรักษา
จากความเชื่อที่ให้ทนกันไปจะชินเสียงกรนได้เอง ที่แนะนำกันทั่วไป แต่เดิมนั้นเพราะอาจคิดว่า ไม่มีทางในการเยียวยารักษาได้ แต่พบว่าในปัจจุบันมีหนทางเลือกหลายวิธีแล้วในการช่วยเหลือผู้ป่วยทั้งวิธีอนุรักษ์และการผ่าตัด
1.การปฏิบัติตัว ใช้เป็นการรักษาหลักหรือร่วมกับการรักษาอื่นทำให้ผลการรักษาดียิ่งขึ้น ดังนี้ 1.1 งดดื่มสุรา งดสูบบุหรี่ 12.หลีกเลี่ยงยานอนหลับ ยาระงับประสาท ยาที่มีฤทธิ์ข้างเคียงทำให้ง่วง 1.3 ไม่ให้ร่างกายอ่อนเพลียหรือทำงานหักโหมจนเกินไป 1.4 นอนศีรษะสูงประมาณ 30 องศา 1.5 ลดน้ำหนัก ควบคุมอาหาร และออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ 1.6 หลีกเลี่ยงการใช้หมอนที่หนาเกินไป ทำให้ทางเดินหายใจเป็นแนวโค้งงอแคบลง
2.รักษาโรคจมูก เช่น ภูมิแพ้ ริดสีดวงจมูก ผนังกั้นจมูกคด
3.เครื่องมือทางทันตกรรม ช่วยให้ช่องคอกว้างขึ้น โดยดึงลิ้นมาด้านหน้าหรือเลื่อนขากรรไกรล่างมาด้านหน้า
4.พลาสเตอร์ถ่างปีกจมูก
5.เครื่องช่วยหายใจดันลมถ่างขยายช่องคอให้กว้างขึ้น ใช้ทุกคืน ปรับความแรงลมได้ตั้งแต่ 4 ถึง 20 เซนติเมตรน้ำ
6.การผ่าตัด ผ่าตัดตกแต่งเพดานอ่อนลิ้นไก่ ภายใต้ยาชาเฉพาะที่ การผ่าตัดในจมูก
นอนกรนลดลงได้ ใช้ร่วมกับการผ่าตัดรักษาวิธีอื่นๆ การรักษาเพดาอ่อนและลิ้นไก่ด้วยคลื่นวิทยุลดขนาดของเนื้อเยื่อดังกล่าวด้วยความร้อน พบอาการปวดแผลหลังผ่าตัดน้อย ผู้ป่วยเข้ารับการรักษา2-4 ครั้ง ได้ผลระยะสั้นร้อยละ 70 ระยะยาวมีการกลับเป็นซ้ำรอยร้อยละ 10-40 การฝังวัสดุจำพวกไหมชนิดไม่ละลายตัว ทำให้เนื้อเยื่อ บริเวณเพดานอ่อนและลิ้นไก่ตึงตัว มีรายงานผลดีในระยะสั้นร้อยละ 70 ต้องติดตามผลในระยะยาวต่อไป
แนวทางการรักษาการนอนกรน
ประเมินผู้ป่วยว่ามีอาการหยุดหายใจร่วมด้วยหรือไม่ ในรายที่สงสัยใช้ตรวจการนอนหลับ เริ่มให้การรักษาผู้ป่วยด้วยวิธีอนุรักษ์ เช่น การให้ผู้ป่วยปฏิบัติตัวร่วมกับการรักษาโรคที่ทำให้มีอาการมากขึ้นไปพร้อมๆ กัน เช่น โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้โรคต่อมไทรอยด์ หลีกเลี่ยงการใช้ยาบางชนิดซึ่งทำให้ง่วงซึม แนะนำให้ผู้ป่วยใช้เครื่องมือทางทันตกรรม เครื่องช่วยหายใจซีแพพ เมื่อไม่ได้ผลใช้วิธีการผ่าตัดอธิบายข้อดี ข้อเสีย โรคแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นใช้คลื่นวิทยุ หรือฝังวัสดุในเพดานอ่อน ลิ้นไก่ ผู้ป่วยเจ็บแผลผ่าตัดน้อย โรคแทรกซ้อน พบได้น้อย ข้อเสียคือมารับการรักษาหลายครั้ง ส่วนผู้ป่วยที่มีลิ้นไก่ยาวเพดานอ่อนหย่อนมาก มีขนาดต่อมทอนซิลโตปานกลางแนะนำใช้วิธีผ่าตัดด้วยเลเซอร์ ผู้ป่วยกลับบ้านได้หลังให้การรักษาผู้ป่วยทั้งวิธีอนุรักษ์หรือการผ่าตัดติดตามผู้ป่วยเป็นระยะๆ ทุกสัปดาห์ในเดือนแรกทุกเดือนใน 6 เดือนแรก หลังจากนั้นให้ติดตามทุก3-6 เดือน แนะนำการปฏิบัติตัวป้องกันการเกิดซ้ำหรือป้องกันโรคไม่ให้รุนแรงขึ้น จนเกิดโรคหยุดหายใจ
ขณะหลับ
บทความโดย
ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ชัยรัตน์ นิรันตรัตน์
ราชวิทยาลัย โสต ศอ นาสิกแพทย์ แห่งประเทศไทย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี