สืบเนื่องมาจากบทความช่วงปีใหม่ที่ตั้งใจจะนำเสนอความเคลื่อนไหวในประเด็นที่สำคัญของโลกในปี 2021 มา “ตกผลึก” ร่วมกัน แล้วกล่าวถึงได้เพียงเรื่องของไวรัสโควิด-19 เท่านั้น จึงขอเพิ่มเติมประเด็นอันควรสนใจที่มีความเชื่อมโยงต่อทิศทางของโลก ดังต่อไปนี้
แน่นอนว่า 20 มกราคม ที่จะถึงนี้ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด “โจ ไบเดน”ผู้ได้รับคะแนนโหวตสูงสุดในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา (2020) จะเข้าทำการสาบานตนเพื่อเข้าดำรงตำแหน่งผู้นำสูงสุดของชาวอเมริกันอย่างแท้จริง ซึ่งนี่คือเงื่อนไขหนึ่งสำหรับทิศทางที่อาจเปลี่ยนไปของโลกในศักราชใหม่นี้ ทั้งในทางที่เป็นบวก และในทางที่เป็นลบ ตามแต่สถานการณ์ และตัวแปรที่เกิดขึ้น
สำหรับตัวแปรหนึ่งที่สำคัญอย่าง “โดนัลด์ ทรัมป์” ว่าที่อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนล่าสุด คงไม่ต้องรอให้ถึงวันสาบานตนของว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่แล้ว เมื่อตัวเขาได้ปลุกมวลชนที่สนับสนุนให้ออกมารวมตัวกันหน้าสภาคองเกส หรือรัฐสภาสหรัฐฯ ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อวันที่ 6 มกราคมที่ผ่านมา เพื่อประท้วงการเลือกตั้งที่เกิดขึ้น ด้วยเหตุผลในด้านความโปร่งใส ในระหว่างที่สมาชิกรัฐสภาจะร่วมกันลงมติรับรองผลการลงมติของคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College) และนั่นนำมาซึ่งการจลาจลทางการเมืองที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งบนดินแดนแห่งเสรีภาพ ความวุ่นวายนอกสภาฯก็ส่วนหนึ่ง แต่ในสภาฯ ก็ยิ่งหย่อนไม่แพ้กัน ซึ่งนักวิเคราะห์การเมืองหลายสำนักทำนายกันเอาไว้ว่า หลังจากนี้เป็นต้นไปการเมืองในสหรัฐอเมริกาจะไม่มีทางเหมือนเดิมอีกแล้ว และความเชื่อทางการเมืองของชาวอเมริกันน่าจะได้รับการปลุกปั่นให้ร้อนแรงอย่างถึงที่สุด เพราะมีการคาดการณ์กันว่า ในการบริหารของไบเดน ตลอดวาระการดำรงตำแหน่งของเขา จะมีทรัมป์ที่จะคอยทำหน้าที่ตรวจสอบจากนอกสภาฯ อย่างเข้มข้น และแทรกแซงการบริหารราชการแผ่นดินด้วยกลยุทธ์ทางการสื่อสารบนโลกออนไลน์ที่เขาชำนาญ เพื่อหวังกลับมาทวงเก้าอี้ในทำเนียบขาวสำหรับการเลือกตั้งครั้งต่อไปให้สำเร็จ
ส่วนสถานการณ์ “ต้านการเหยียดผิว” ที่ทางกลุ่ม Black Lives Matter หรือ บีแอลเอ็ม ออกมารณรงค์อย่างหนักหลังการเสียชีวิตของ “จอร์จ ฟลอยด์” (ชายผิวสี) ระหว่างอยู่ในการควบคุมของตำรวจ ซึ่งทวีความรุนแรงขึ้นหลายพื้นที่ในหลายเมืองของสหรัฐฯ (ภายหลังหน่วยงานรัฐไม่ตอบรับข้อเสนอของผู้ชุมนุม)รวมไปถึงการเข้าร่วมการแสดงออกในหลายพื้นที่ของประชาชนจากหลายประเทศในทวีปยุโรป โดยมีการแสดงสัญลักษณ์อย่างเป็นทางการผ่านแวดวงกีฬาเพื่อเป็นการสนับสนุนความเคลื่อนไหวดังกล่าวนี้อย่างต่อเนื่องนี่ก็เป็นประเด็นอันละเอียดอ่อนที่ในปี 2021 นี้หลายฝ่ายได้พยายามมองหาข้อสรุปของทางออกอันละมุนละไม ที่ว่าทำอย่างไรถึงจะให้ทุกฝ่าย (กลุ่มผู้ชุมนุม รัฐบาล และเจ้าหน้าที่ตำรวจ) ประนีประนอมกันได้ และเริ่มต้นวางข้อกำหนดที่ทุกฝ่ายยอมรับกันใหม่ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ โลกได้คลี่คลายในประเด็น“สีผิว” จนกลายเป็นวัฒนธรรมแห่งการยอมรับอันเป็นสากลมาแล้ว
การจับจ้องของโลกต่อประเด็นนี้ก็ยังคงมองเขม็งไปที่อเมริกา เพราะสาเหตุหนึ่งในการปะทุของมวลชนฟากฝั่งที่นิยมแนวคิดแบบกลุ่มบีแอลเอ็ม คือการที่ประธานาธิบดีทรัมป์มองการแสดงออกของกลุ่ม BlackLives Matter ว่าเป็นการสร้างความเกลียดชังไม่เคารพต่อกฎหมาย และมีเป้าหมายไปสู่การทำให้รัฐตกอยู่ในสภาพ “ไร้กฎหมาย” ซึ่งมาจากแรงจูงใจทางการเมือง และทางความเชื่อในระบอบมาร์กซิสต์ ในขณะที่เหตุการณ์ตำรวจใช้ปืนยิงชายผิวสี (ไม่ว่าจะมาจากสาเหตุใด) เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง (หลังกรณีของจอร์จ ฟลอยด์) และได้รับการสื่อสารผ่านสื่อโทรทัศน์ และสื่อออนไลน์อย่างมีอารมณ์ ดังนั้น การที่ว่าที่ประธานาธิบดีไบเดน ซึ่งพยายามออกตัวในประเด็นเรื่องของความเท่าเทียมอย่างแข็งขันในช่วงการหาเสียงเลือกตั้งก่อนหน้านี้ ก้าวเข้าสู่ตำแหน่งผู้นำสูงสุดของอเมริกา ซึ่งจะเป็นตัวแทนสำคัญทางนโยบายสำหรับการอยู่ร่วมกันของโลก จึงน่าจะเป็นความหวังในการพาความขัดแย้งทางด้านสีผิวมาจบลงที่การเจรจาร่วมกันอีกครั้ง แล้วยิ่งการเลือก “กมลา เทวี แฮร์ริส” สตรีชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกา และเอเชียมาเข้ารับตำแหน่งรองประธานาธิบดี ก็เสมือนเป็นการยืนยันอย่างดีว่า โลกในการขับเคลื่อนของประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครตคนนี้ จะก้าวข้ามเรื่องของสีผิว เพศ และความแตกต่างใดๆ ในการอยู่ร่วมกัน ซึ่งโดยส่วนตัวก็หวังว่า ปัญหาดังกล่าวนี้จะมีข้อตกลงอันพึงปฏิบัติร่วมกันที่เหมาะสม และโลกของเราจะก้าวข้ามประเด็นความขัดแย้งทางเชื้อชาติได้อย่างแท้จริงเสียที เพราะเราประสบความสูญเสียที่มาจากความเกลียดชังเช่นนี้มานาน (และมาก) เกินไปแล้ว
อีกประเด็นที่อยากชวนมาขบคิดร่วมกัน ก็เป็นเรื่องราวของมหาอำนาจอันดับสอง(ในตอนนี้) ของโลกคือสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีนกับความแข็งกร้าวทางการเมือง ไม่ว่าจะต่อเบอร์หนึ่งของโลกอย่างสหรัฐฯ หรือเมืองในการปกครองแบบฮ่องกง และพื้นที่นอกปกครอง เช่น ไต้หวัน และอาจรวมทะเลจีนใต้เข้าไปด้วย แน่นอนว่า หลังการมาถึงของโควิด-19 สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ลดความรุนแรงลง ซึ่งหลายคนก็เป็นกังวลว่า เมื่อวัคซีนทำงานอย่างสมบูรณ์ ความรุนแรงของสงครามดังกล่าวนี้จะปะทุอีกครั้งหรือไม่ ประเด็นนี้จึงเป็นที่จับตากันในปี 2021 แม้ว่าทางอเมริกาจะเปลี่ยนหัวเป็น “โจ ไบเดน” แต่นักวิเคราะห์ทางการเมืองระหว่างประเทศก็เห็นภาพตรงกันว่า อดีตรองประธานาธิบดีท่านนี้จะไม่ลดระดับความเข้มข้นของนโยบายทางการค้าลงอย่างแน่นอน เพราะการใช้มาตรการทางภาษีต่อจีนนั้น ก็เหมือนกับเป็นการลดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนไปโดยปริยาย แม้ว่าจะมีผลข้างเคียงต่อสหรัฐฯ อยู่บ้าง แต่การหยุดจีนเอาไว้แค่เบอร์สองของโลกนั้น ย่อมเป็นผลลัพธ์ที่ไม่อาจปฏิเสธได้เลยสำหรับเบอร์หนึ่งที่ยังต้องการควบคุมความเป็นไปของระบบเศรษฐกิจและความมั่นคงของโลกใบนี้อยู่
ดังนั้น สิ่งที่ต้องมาหาคำตอบสำหรับจีนก็คือ จะเล่นในเกมนี้อย่างไรก่อนหน้านี้ก็ใช้กลยุทธ์เจรจาไป ตอบโต้ไปซึ่งก็ต้องถือว่า ยืดเวลาเพื่อลดทอนความเสียหายได้พอสมควร แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความสงบเสงี่ยมต่อพื้นที่ในทะเลจีนใต้ และไต้หวัน ซึ่งจีนยังคงมองเป็นยุทธศาสตร์ทางความมั่นคงที่สำคัญ และความเป็นอธิปไตยที่ต้องได้รับกลับคืนมาอยู่เสมอ ตรงนี้เองที่ต้องมาวัดใจกันว่า 2021 ทิศทางของเศรษฐกิจจีนจะเป็นอย่างไร เพราะการจะลดการพึ่งพามหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ ในเรื่องของตลาดได้จีนต้องมีตลาดที่ใหญ่พอกว่าตลาดเดิม หรือจีนต้องมีสินค้าที่ตลาดเดิมหาไม่ได้จากที่อื่น รวมไปถึงสินค้าที่ตลาดเดิมมี และจีนขาดไม่ได้ ก็ต้องหาตลาดอื่นที่มีสินค้าชนิดนั้น และเพียงพอกับความต้องการของจีน ตรรกะตรงนี้จึงมีความเกี่ยวพันกับความมั่นคงอย่างเหนียวแน่น เราจึงเห็นจีนพยายามอย่างเอาเป็นเอาตายในการพัฒนาเทคโนโลยีให้ทันสมัย เตรียมความพร้อมในเรื่องพลังงานสะอาดอย่างขะมักเขม้น รวมไปถึงการออกนโยบายสนับสนุนบริษัทใหญ่ๆ ของประเทศ ในการยกระดับสินค้าและบริการ อีกทั้งการอำนวยความสะดวกในเรื่องช่องทางสำหรับการค้าระหว่างประเทศด้วย
เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงเชื่อได้ว่า จีนในปีนี้จะยังคงสร้างผลิตภาพทางเศรษฐกิจตามเป้าหมายเดิมอย่างแข็งขัน แต่อีกหน้าก็จะเปิดเกมการเมืองระหว่างประเทศอยู่เป็นระยะๆ ทั้งเพื่อรักษาความเป็นมหาอำนาจสร้างพันธมิตร ปรามคู่แข่ง (สร้างข้อได้เปรียบทางการค้า) และรุกคืบในความได้เปรียบทางการค้า และความมั่นคง (ถ้ามีเกิดขึ้น)เหมือนกับที่เกิดขึ้นกับฮ่องกงในปีที่ผ่านมาซึ่งอาจจะมีความสุขุมขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
เหล่านี้น่าจะทำให้เห็นภาพของโลกและความเคลื่อนไหวในปีนี้ได้อย่างชัดเจนไม่มากก็น้อย เพราะยักษ์ใหญ่สองเบอร์ที่เอามาวางเป็นฐานให้นั้น น่าจะเป็นแกนหลักในการบิดสถานการณ์ของโลกใบนี้ให้ขับเคลื่อนไปตามองค์ประกอบทางการเมืองเศรษฐกิจ และความมั่นคง ตามที่ได้นำเสนอไปแล้ว ที่เหลือก็แค่รอรายละเอียดในแต่ละเหตุการณ์ และปัจจัยเสริมที่สำคัญเท่านั้น เพราะทุกอย่างมีความเชื่อมโยงต่อกัน และมันบอกทิศทางกับเรา
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี