ในการให้ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขของประเทศไทย กำหนดให้วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ซึ่งตรงกับเทศกาลแห่งความรัก (ตามธรรมเนียมสากล) เป็นการนับหนึ่งสำหรับการฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยเริ่มต้นจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ซึ่งเป็นด่านหน้าในพื้นที่ควบคุมการระบาดสูงสุด ตามด้วยกลุ่มของผู้สูงอายุ คนที่มีโรคประจำตัว และเจ้าหน้าที่ที่ดูแลเรื่องมาตรการป้องกันการระบาดของไวรัส อาทิ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร หน่วยงานตรวจคนเข้าเมือง เป็นต้น จากนั้นก็จะเป็นในส่วนของบุคคลทั่วไปตามความสมัครใจของแต่ละท่าน ด้วยวัคซีนของบริษัท AstraZeneca จำนวน 26 ล้านโดส และ Sinovac จำนวน 2 ล้านโดส ซึ่งจัดเตรียมเอาไว้เป็นที่เรียบร้อยตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ในประเทศไทย ที่การระบาดมิได้รุนแรง และไม่มีคนป่วย หรือคนเสียชีวิตจำนวนมาก เหมือนในหลายประเทศ ส่วนอีก 35 ล้านโดสกับการสั่งจองกับทาง AstraZenecaหลังเดือนมิถุนายน (2021) เป็นต้นไป ทำให้เรามีวัคซีนทั้งหมด 63 ล้านโดส สำหรับประชาชน 31.5 ล้านคน ซึ่งคิดเป็น 63% ของประชาชนคนไทยที่ควรได้รับวัคซีน ประมาณ 50 ล้านคน (ยกเว้นกลุ่มอายุต่ำกว่า 18 ปี และหญิงตั้งครรภ์)
จากข้อมูลวัคซีนดังกล่าวนี้ ทางสาธารณสุขไทยยืนยันว่า จะสามารถสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ (Herd immunity) ให้กับประเทศไทย และทำให้ความเสียหายที่มาจากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ลดลง
หรือหายไปได้ ภายในปีนี้ คาบเกี่ยวถึงต้นปีหน้า (2022) เช่นเดียวกับแนวนโยบายของอีกหลายประเทศในการนำเข้าวัคซีนไปใช้เพื่อลดความสูญเสียจากวิกฤติโรคระบาด ซึ่งเชื่อว่า รัฐบาลในทุกประเทศต้องการที่จะประสบความสำเร็จในการฉีดวัคซีนนี้โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ นี่เองจึงเป็นความน่าสนใจสำหรับการบริหารจัดการเกี่ยวกับวัคซีนในแต่ละประเทศ ว่ามีความเหมือนและแตกต่างกันอย่างไรรวมไปถึงผลข้างเคียงของวัคซีนที่เกิดขึ้นตามที่เป็นข่าว เพื่อการพิจารณาอย่างลึกซึ้ง ทั้งต่อพวกเราประชาชนคนไทยเองในการตัดสินใจว่าจะฉีดหรือไม่ และหวังให้รัฐบาลใช้เป็นข้อมูลในการป้องกันความผิดพลาด และการควบคุมความสูญเสียที่อาจจะมีได้ให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด
คงต้องเริ่มต้นที่พี่ใหญ่อย่าง “สหรัฐอเมริกา” หลังจาก “โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีคนล่าสุด เดินเข้าสู่ทำเนียบขาวอย่างเป็นทางการ และออกคำสั่งเข้มข้นเกี่ยวกับเรื่องมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รวมไปถึงการสั่งซื้อวัคซีนเพิ่มเติมอีก 200 ล้านโดส จากทั้ง Pfizer และ Modena บริษัทวัคซีนสัญชาติอเมริกัน ซึ่งใช้นวัตกรรมสมัยใหม่ในการผลิตแบบ mRNA หรือการถอดรหัสพันธุกรรมของไวรัส แล้วนำไปสร้างโปรตีน RNA ส่งเข้าไปสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย
ทำให้ตอนนี้ทางสหรัฐฯ มีวัคซีนอยู่ทั้งหมด 600 ล้านโดส จากทั้งสองบริษัทซึ่งด้วยคำสั่งพิเศษของประธานาธิบดี(Excusive Order) ได้กำหนดให้ใน 100 วันแรกของการดำรงตำแหน่ง ชาวอเมริกันต้องได้รับวัคซีนทั้งหมด 150 ล้านโดส และจะต้องสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้ได้ ภายในไตรมาสแรกของปีนี้ (2021) นี่คือความเคลื่อนไหวในเรื่องของบริหารจัดการวัคซีนของอเมริกา ประเทศที่มีการสูญเสียชีวิตจากโควิด-19 มากที่สุดเป็นอันดับแรกของโลก
กระนั้น ในช่วงต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา ก็มีข่าวออกมาจากประเทศนอร์เวย์ เกี่ยวกับบุคคลที่เสียชีวิตหลังการฉีดวัคซีนของ Pfizer ที่มีจำนวนกว่า 30 คน ซึ่งสร้างความแตกตื่นให้กับคนทั่วโลก และตั้งคำถามถึงผลข้างเคียงของการฉีดวัคซีนPfizer ว่ามีอันตรายหรือไม่ เพราะยังมีอีกหลายกรณีที่ปรากฏตามข่าวของสื่อระดับรอง(สื่อออนไลน์) ที่เสนอข่าวการเสียชีวิตของผู้ฉีดวัคซีนของ Pfizer และผลข้างเคียงอื่นๆ ทั้งการหมดสติ อาเจียน อาการชาที่ซีกหน้า และอื่นๆ ที่ปรากฏมาก่อนหน้านี้ ซึ่งล่าสุด “ไซนาร์ เมดเซน” ผู้อำนวยการด้านการแพทย์ของสำนักงานยาแห่งนอร์เวย์ ก็ออกมาให้ข้อมูลว่า การสูญเสียที่เกิดขึ้นเป็นอัตราแค่ 1 ต่อ 1,000 เท่านั้น และผู้ป่วยกว่า 30 รายที่ปรากฏตามที่เป็นข่าว ก็มีอายุเกินกว่า 75 ปี ซึ่งเป็นการเข้าฉีดวัคซีนตามกลุ่มของบุคคลที่อาศัยอยู่ในบ้านพักคนชราตามนโยบายของทางการนอร์เวย์
ส่วนทาง “ประเทศจีน” จุดเริ่มต้นของการระบาด (เจ้าตัวปฏิเสธ) ก็เริ่มทำการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนของเขาไปแล้วตั้งแต่ปลายปี 2020 จนถึงปัจจุบัน สาธารณสุขจีนได้ฉีดวัคซีนไปแล้วกว่า 15 ล้านโดส ลำดับการฉีดของจีนก็น่าสนใจ เพราะให้น้ำหนักไปที่บุคลากรทางการแพทย์เหมือนกับประเทศของเรา แต่ถัดจากนั้นจะเป็นกลุ่มของแรงงานที่เกี่ยวข้องกับการคมนาคมขนส่ง และแรงงานที่ปฏิบัติงานอยู่ตามด่านพรมแดน ซึ่งครอบคลุมอายุระหว่าง 18-59 ปี ซึ่งแนวทางลักษณะนี้จะคล้ายกับ “ประเทศอินโดนีเซีย” ที่เริ่มฉีดให้กับผู้ใช้แรงงานก่อนผู้สูงอายุ ด้วยเหตุผลของการแพร่กระจายเชื้อไวรัสในกลุ่มแรงงาน หรือวัยทำงานนั้น จะมีอัตราสูงกว่ากลุ่มคนสูงอายุที่อยู่กับที่ และมองไปถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ที่จำเป็นต้องใช้กำลังของแรงงานมาผลักดันเป็นสำคัญ จึงจัดอันดับแตกต่างจากหลายประเทศที่กำหนดให้ผู้สูงอายุเข้าถึงวัคซีนอย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกันการสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น
แต่สิ่งหนึ่งที่หลายคนเป็นห่วง โดยเฉพาะคนไทยที่ทางรัฐบาลรับวัคซีนนำเข้ามาจากจีนโดย Sinovac ก็มาจากข้อมูลของการทดสอบในระยะที่ 3 จากสถาบันของบราซิล ที่บ่งชี้ว่ามีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อเพียงแค่ 50.4% เท่านั้น พร้อมความไม่เสถียรในการทดลองระยะ 3 ตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งทางผู้ผลิต (เอกชนจีน) ก็ชี้แจงแล้วว่า ทางองค์การอาหารและยา หรือ WHOกำหนดว่า วัคซีนในภาวะฉุกเฉินนั้นเกิน 50% ก็ถือว่าทำงานได้ แล้วในการทดสอบก็ใช้กับกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ และบราซิลก็เป็นพื้นที่สีแดง(เสี่ยงสูง) จึงทำให้อัตราที่ออกมาไม่สูงมากนัก แต่ยืนยันว่า มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อ ที่สำคัญ Sinovacใช้แนวทางการผลิตแบบดั้งเดิม คือการเพาะเชื้อที่ตายแล้ว ดังนั้น ในเรื่องความปลอดภัยและผลข้างเคียงจึงมีความปลอดภัยที่สูงมากกว่าการผลิตในรูปแบบที่แตกต่างออกไป
ที่น่าสนใจ คือ “ประเทศอินเดีย” ซึ่ง “สถาบันเซรั่ม” เป็นฐานการผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่นี่ทำการผลิตวัคซีนแบรนด์ Covishieldขึ้นมา โดยเป็นวัคซีนที่พัฒนาจากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด หรือ AstraZeneca ที่มาร่วมสร้างฐานการผลิตกับไทย (ต่างกันตรงที่อินเดียซื้อลิขสิทธิ์ แล้วผลิตเอง ซึ่งค่าใช้จ่ายสูง ส่วนไทยรับเป็นฐานการผลิตด้วยกัน) ด้วยกระบวนการใช้ไวรัสที่ทำให้อ่อนลงแล้วไม่ทำให้เกิดโรค (Viral vector) มาตัดต่อใส่สารพันธุกรรมของ Coronavirus ลงไป เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน
อินเดียตั้งเป้าการผลิต 2,500 ล้านโดส สำหรับประชากรในประเทศ 1,250 ล้านคน แล้วยังส่งไปยังประเทศต่างๆ อาทิ บังกลาเทศ เนปาล ภูฏานมัลดีฟส์ เซเชลส์ มอริเซียส เมียนมาศรีลังกา และอัฟกานิสถาน ในแบบไม่คิดเงินเพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หรือ “การทูตวัคซีน” เพื่อคานอำนาจกับจีนที่ทำในแบบเดียวกันต่อประเทศในกลุ่มทวีปเอเชีย
สำหรับในกลุ่มประเทศอาเซียนนั้นก็เห็นจะมีประเทศไทย โดยความร่วมมือของมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด กับ “บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์” ของเรานี่แหละที่จะเป็นต้นทางในการผลิตและแจกจ่าย AstraZeneca ส่วน “ประเทศสิงคโปร์” ก็รับอาสา Pfizer และ Modena ที่เก็บรักษายากกว่า มาเป็นฐานในการแจกจ่ายสำหรับภูมิภาคนี้ แต่ถึงที่สุดแล้ว WHO ก็ออกมาประกาศแล้วว่า การฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันไวรัสไม่ใช่ปลายทางของการต่อสู้กับโควิด-19 แต่ความสำเร็จหรือชัยชนะที่แท้จริง คือ การหยุดทุกความสูญเสียที่มีต้นทางมาจากเจ้าไวรัสตัวนี้ทั้งด้านชีวิต และทรัพย์สิน ซึ่งจำเป็นต้องทำควบคู่กันไปกับมาตรการด้านสาธารณสุขที่ออกมาก่อนหน้านี้ นี่จะเป็นหนทางเดียวที่โลกจะไปพบกับ “ความปกติแบบใหม่” ได้อย่างแท้จริง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี