ก่อนอื่นต้องขออนุญาตเรียกประเทศ “เมียนมา” ด้วยคำว่า “พม่า” เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความไม่เห็นด้วยต่อการรัฐประหารของคณะทหารที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นรูปแบบการแสดงออกอันเป็นสากลสำหรับการแสดงความไม่ยอมรับต่ออำนาจบริหารประเทศที่ไม่เป็นประชาธิปไตยของทหารในประเทศพม่า และขอเริ่มต้นบทความที่กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้ออกแถลงการณ์แทบจะทันทีหลังมีการรัฐประหารในพม่า และรับทราบว่า ทหารได้จับกุมตัวนางออง ซาน ซู จีและบรรดาคณะรัฐมนตรีพลเรือนโดยระบุดังนี้
“สหรัฐอเมริกา ขอแสดงความกังวลอย่างยิ่งเกี่ยวกับรายงานที่ว่า กองทัพพม่าได้เข้าควบคุมตัวผู้นำรัฐบาลพลเรือน ซึ่งรวมไปถึงนางออง ซาน ซู จี ที่ปรึกษาแห่งรัฐสหรัฐอเมริกาขอเรียกร้องให้ผู้นำทหารพม่าปล่อยตัวเจ้าหน้าที่รัฐ และผู้นำประชาสังคม ที่สำคัญ ควรเคารพเจตจำนงของประชาชนชาวพม่า ที่แสดงออกในการเลือกตั้งที่เป็นประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 8 พ.ย. ที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกายืนเคียงข้างประชาชนของพม่า ในความปรารถนาในประชาธิปไตย เสรีภาพ สันติภาพ และการพัฒนา ทหารต้องยุติการกระทำเหล่านี้ทันที”
ตามด้วยดาบสอง คือ แถลงการณ์จากประธานาธิบดีคนใหม่แห่งสหรัฐฯ “นายโจ ไบเดน” ที่เรียกร้องให้ประชาคมโลกร่วมกันกดดันพม่าให้คืนอำนาจที่ยึดครองไปกลับคืนมา และปล่อยตัวพลเรือนทุกคนที่ควบคุมเอาไว้ ที่สำคัญ ต้องไม่ใช้ความรุนแรงต่อประชาชนทุกคน รวมไปถึงการเปิดช่องทางการสื่อสารต่างๆ อย่างเป็นอิสระ ก่อนจะขู่ในเรื่องการคว่ำบาตรพม่าอีกครั้ง และนำตัวคนที่ทำการรัฐประหารมาลงโทษตามกฎหมาย
“สหรัฐ ยกเลิกการคว่ำบาตรพม่าในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เนื่องจากความก้าวหน้าไปสู่ประชาธิปไตยของพวกเขา แต่การย้อนคืนความก้าวหน้าดังกล่าว ทำให้หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เราจะต้องทบทวนกฎหมายการคว่ำบาตร และอำนาจของเราในทันที ตามด้วยการใช้มาตรการอย่างเหมาะสม และเราจะทำงานร่วมกับหุ้นส่วนของเราทั่วทั้งภูมิภาค และทั่วโลก เพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูประชาธิปไตยและกฎหมาย รวมทั้งการนำบุคคลที่ต้องรับผิดชอบต่อการล้มการเปลี่ยนผ่านอำนาจอย่างเป็นประชาธิปไตยของพม่ามาลงโทษ”
แน่นอนว่า นอกจากพี่ใหญ่ของโลกอย่างสหรัฐฯ แล้ว ประเทศในระบอบประชาธิปไตยต่างๆ ก็ออกมาเรียกร้องให้คณะทหารพม่าคืนประชาธิปไตยในทันที และปล่อยตัว “นางออง ซาน ซู จี”และประชาชนที่ถูกควบคุม ไม่ว่าจะเป็นออสเตรเลีย อินเดีย อังกฤษ สหภาพยุโรป และกลุ่มประเทศในสแกนดิเนเวีย (นอร์เวย์ สวีเดน และเดนมาร์ก) สำหรับประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงกันในกลุ่มอาเซียน ต่างก็ให้ความเคารพในข้อตกลงที่มีร่วมกันในการไม่ก้าวก่ายกิจการภายในประเทศของกันและกัน จึงทำให้ความเห็นต่อการรัฐประหารที่เกิดขึ้นค่อนข้างเบาไปจนถึงเงียบเป็นเป่าสาก เช่นกันกับจีนที่นักวิเคราะห์การเมืองระหว่างประเทศคาดเดาในตอนแรกว่าอาจจะเงียบ ด้วยเหตุผลของความสัมพันธ์ต่อรัฐบาลทหารในพม่า แต่ก็เกินคาด เพราะนอกจากไม่เงียบแล้ว ยังส่งเสียงกระแอมกระไอออกมา ซึ่งแน่นอนว่า เสียงนั้นอาจตีความเป็นการยอมรับในการกระทำที่เกิดขึ้นของทหารในพม่า ก็น่าจะเป็นไปได้เพราะสำนักข่าวที่หนุนหลังรัฐบาลจีนให้ข่าวของการรัฐประหารที่พม่า ในทำนองที่ว่า เป็นแค่การปรับคณะรัฐมนตรี
“ในวันอังคาร กองทัพเมียนมากระชับอำนาจเพิ่มขึ้น ด้วยการปลดรัฐมนตรี 24 ตำแหน่ง และแต่งตั้งตัวแทน 11 คนมากำกับดูแลกระทรวงต่างๆ ที่รวมถึง การคลัง กลาโหม การต่างประเทศ และมหาดไทย” ส่วนหนึ่งจากรายงานของสำนักข่าวซินหัว
ด้านผู้นำการรัฐประหาร“พลเอกมิน อ่อง หล่าย” ได้ออกมากล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า เขาทำไปเพราะไม่มีทางเลือกอื่น เพราะการทุจริตการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาถูกเพิกเฉยจากรัฐบาล โดยอ้างว่า นางซู จีบอกว่า เป็นเรื่องของคณะกรรมการการเลือกตั้ง รัฐสภาไม่มีอำนาจ ดังนั้นเพื่อให้มั่นใจว่า ประเทศจะดำเนินนโยบายไปในทิศทางที่ถูกต้อง เขาจึงตัดสินใจเข้าสู่อำนาจ และให้สัญญากับประชาชนว่า ขอเวลา 1 ปีแล้วจะจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ที่โปร่งใสและยุติธรรม จากนั้นใครชนะก็จะส่งมอบอำนาจให้
ถึงตรงนี้ สัญญาของหัวหน้าคณะรัฐประหารยังคงเป็นเพียงแค่ลมปาก ขาดความน่าเชื่อถือ และเหตุผลสนับสนุนที่เขาหยิบยกมาอธิบายในการกระทำการดังกล่าว กลายเป็นเพียงแค่ข้ออ้าง ในความเชื่อของคนที่อยู่ตรงข้ามกับการรัฐประหารทั่วโลก
สำหรับชุดความคิดที่มีการตกผลึกว่า น่าจะเป็นเหตุผลของการรัฐประหารที่แท้จริงนั้น แบ่งออกมาเป็น 3 ประเด็นด้วยกัน ซึ่งทั้งหมดนั้นมันมีหัวใจอยู่ที่การรักษาอำนาจของกลุ่มทหารซึ่งพัวพันอยู่กับการบริหารประเทศพม่ามาอย่างยาวนาน จนยากจะปล่อยให้พม่าถูกขับเคลื่อนไปในทิศทางการปกครองแบบรัฐบาลพลเรือนอย่างเต็มตัว
หนึ่ง ด้วยอำนาจของผู้นำคณะรัฐประหาร “นายพลมิน อ่อง หล่าย”ที่กำลังจะหมดลงในอีก 5 เดือน ตามวาระปกติ ทำให้ความกังวลในเรื่องผลประโยชน์ของธุรกิจครอบครัว และธุรกิจกองทัพ ซึ่งกลุ่มทหารเก่าที่ได้รับการแบ่งสันปันส่วนอย่างเหมาะสมนั้นดูแลอยู่ จะถูกลดทอนผลประโยชน์ลง ทั้งจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งการเลือกตั้งที่ผ่านมาพรรค NLD สามารถได้ที่นั่งในรัฐสภามากกว่า 75% ทำให้เข้ากรอบตามที่กฎหมายกำหนด รวมไปถึงการเพิ่มจำนวนและอิทธิพลที่มากขึ้นของกลุ่มทหารรุ่นใหม่ในกองทัพ ซึ่งทั้ง 2 ปัจจัยนี้ คือ เชื้อไฟอย่างดีที่จะทำให้ความมั่งคั่งที่กลุ่มทหารเก่ามีหดหายไป
สอง การคานอำนาจกันสำหรับจีนกับชาติตะวันตก รวมไปถึงอินเดีย ในประเทศพม่า ที่ทางกลุ่มทหารเก่ามองว่า เมื่อนางซู จี มีอำนาจมากกว่าเดิมแล้วจะทำให้อิทธิพลของชาติตะวันตกรวมไปถึงการสนับสนุนด้านการค้า ด้านความมั่นคงต่างๆ จะมากยิ่งขึ้นจนไปเบียดบังการสนับสนุนของจีน ทำให้ลดทอนผลประโยชน์ต่างตอบแทนที่เคยมีให้กันตั้งแต่นานมา ด้วยความไม่สบายใจเช่นนี้เอง จึงเลือกที่จะตัดไฟแต่ต้นลม เพื่อรักษาสัมพันธ์กับจีนเอาไว้ให้ยังคงเป็นเบอร์หนึ่งของมิตรในด้านต่างๆ ต่อไป
และสุดท้าย ความเป็นประชาธิปไตยและความเจริญที่รัฐบาลพลเรือนพยายามเปิดให้หลั่งไหลเข้ามาในประเทศพม่านั้น อาจทำให้ประชาชนยกระดับในเรื่องของการเมือง และสังคม จนยากเกินจะควบคุม รวมไปถึงการเพิ่มขึ้นในความนิยมของตัวนางซู จีและพรรค NLD ปรากฏการณ์เหล่านี้ล้วนไม่เป็นผลดีต่อคณะทหารในการอิงแอบอยู่กับอำนาจผ่านรัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นมาเองอย่างแน่นอน
แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม การเข้าสู่อำนาจที่เป็นไปโดยไม่ชอบธรรม และขาดการยอมรับ ที่สำคัญถ้ามาจากการใช้ความรุนแรง หรือการบังคับด้วยกำลังหรืออาวุธด้วยแล้ว เชื่อว่า ราคาที่พม่าต้องจ่ายต่อจากนี้ไปน่าจะสาหัสสากรรจ์ และมันหมายรวมถึงประชาชนทุกคน ที่ต้องอดทนรับผิดชอบร่วมกัน ต่อการกระทำของคนเพียงกลุ่มเดียว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี