วันที่ 21/1/64 มีข้อมูลดีๆ จากธนาคารโลกในประเทศไทย ผมจึงขอนำมาเล่าสู่กันฟังนะครับประเทศไทยในปี พ.ศ.2563 คาดว่าจะมีผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจนเพิ่มขึ้นอีก 1.5 ล้านคน จากที่มี 3.7 ล้านคน ในปี 2562 ทำให้ปี 2563จะมีผู้ที่ยากจนรวมเป็น 5.2 ล้านคน เนื่องมาจาก COVID-19ศัตรูหมายเลขหนึ่งของเรา และชาวโลกนั่นเอง
ธนาคารโลกให้คำจำกัดความของคำว่า poverty หรือ poverty line คือ มีรายได้ต่ำกว่า 5.5 เหรียญสหรัฐต่อวัน หรือ 165 บาท/วัน รวมแล้วก็คือปีละ 60,225 บาท หรือเดือนละ 5,018.75 บาท ถ้าคำนวณจากวันที่มีใน 1 ปี คือ 365 วัน แต่ถ้าคำนวณจากวันจันทร์-ศุกร์เท่านั้น ใน 1 ปี (ไม่นับวันนักขัตฤกษ์และวันหยุดอื่นๆ) ก็จะมี 52 สัปดาห์ x 5 วัน หรือ 260 วัน เท่ากับ 42,900 บาท/ปี
และในปี 2564 นี้ คาดว่าโรคระบาดน่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในครึ่งหลังของปี จึงคาดว่าจำนวนผู้ยากจนจะลดจาก 5.2 ล้านคน เป็น 5 ล้านคน อัตราความยากจนปี 2563 อยู่ที่ 8.8% ขึ้นจาก 6.2% ในปี 2562 และคาดว่าจะลดลงเป็น 8.4% ในปีนี้ (2564) จำนวนผู้ที่ยากจนเพิ่มขึ้นเพราะการตกงานเพราะโควิด
ในครึ่งแรกของปี พ.ศ.2563 มีคนตกงานถึง 340,000 คนและมีการลดจำนวนชั่วโมงที่ทำงาน สำหรับผู้หญิง 3 ชม. ผู้ชาย 2 ชม. แต่สถานการณ์เริ่มดีขึ้นใน 3 เดือนแรกของครึ่งหลังของปี 2563 มีการทำงานเพิ่มขึ้น 850,000 คน
คำนวณว่า เศรษฐกิจไทยจะถดถอย 6.5% ในปี 2563 และจะโตขึ้น 4% ในปี พ.ศ.2564 ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของ COVID-19 คาดว่าประชาชนชาวไทยประมาณ 50% จะได้รับการการฉีดวัคซีนภายในครึ่งหลังของปี 2564 ซึ่งจะทำให้ธุรกิจการท่องเที่ยวดีขึ้น ถ้าเป็นเช่นนั้น เศรษฐกิจอาจโตถึง 4.7% ในปี 2565 ปัญหาที่อาจเกี่ยวข้องกับการเติบโตของเศรษฐกิจ คือ การเมือง
ทำอย่างไรถึงจะป้องกันการเกิดความยากจนได้?
ผมสอนลูกศิษย์แพทย์เสมอว่า ชีวิตคือ การบริหารความเสี่ยง หรือเราต้องมีศิลปะในการดำรงชีพ หรือชีวิตต้องมีภูมิคุ้มกันตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง ร.9 พ่อหลวงของเรา ปัญหาของชีวิตหลักๆ คือ หนึ่ง การศึกษา สอง การออม การลงทุน และสาม การมีสุขภาพที่ดี
เรื่องการศึกษา รัฐบาลต้องทำให้เด็กๆ ทุกๆ คน คนไทยทุกๆ คน มีโอกาสเรียน มีระบบการศึกษา ครูที่ดี ได้มาตรฐาน และกระจายไปทั่วประเทศ ไม่ใช่เจริญเฉพาะในเมืองใหญ่ๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ แต่ขอพูดแค่นี้ รัฐบาลให้ความสำคัญมากเรื่องการศึกษา โดยให้งบประมาณมากที่สุดของทุกๆ กระทรวง แต่ผลยังไม่ดี ยังเกาไม่ถูกจุด และต้องใช้เวลาอีกนานมาก เราต้องเลือกเรียนวิชาที่เราชอบ ที่ตลาดต้องการ จึงจะหางานได้ง่าย มีเงินเดือนที่ดี รัฐบาลควรมีคณะกรรมการแห่งชาติดูแลเรื่องกำลังคนฯ สอง เรื่องการออม ลงทุน มีเพียงประมาณ 5% ของผู้เกษียณ ที่มีอิสรภาพทางการเงิน ซึ่งก็คือ มีรายได้จากทรัพย์สิน เหนือรายจ่าย ซึ่งก็หมายความว่า ถ้าจะอยู่เฉยๆ ก็มีรายได้เข้ามาทุกเดือน มากกว่ารายจ่าย ทรัพย์สิน คือ กบข. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, SSF, RMF ประกันต่างๆ กองทุนหุ้น เงินฝากธนาคาร (ได้ผลตอบแทนน้อย) บ้านให้เช่ารถให้เช่า ฯลฯ
เราต้องเริ่มออม ลงทุน ตั้งแต่เริ่มทำงานได้รับเงินเดือนเดือนแรก และตอนเราเป็นเด็ก บิดา มารดา ควรสอนให้รู้จักคุณค่าของเงิน ควรใช้จ่ายอย่างประหยัด ถ้าได้เงินไปโรงเรียนเป็นเดือน ควรใช้จ่ายอย่างเศรษฐกิจพอเพียง พยายามหัดออมเงินของตนเอง ไว้ซื้อของที่จำเป็นที่ตนเองต้องการ แทนที่จะไปขอจากบิดา มารดา
ต้องเริ่มออม ลงทุนเร็วๆ ลูกศิษย์ผมอายุ 28 ปี มีรายได้เดือนละ 30,000 บาท หลายคนยังไม่ค่อยมีความรู้เรื่องการออม การลงทุน บางคนฝากไว้ที่ธนาคารเท่านั้นบางคนซื้อ LTF (ปัจจุบันนี้ไม่มี มี SSF) RMF ประกันชีวิตกบข. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ น้อยคนที่จะรู้เรื่องการลงทุน ซื้อกองทุน ซื้อหุ้น รวมทั้งการซื้อแบบสั่งครั้งเดียวจะซื้อทุกเดือนโดยอัตโนมัติ ที่เรียกกันว่า Dollar Cost Average (DCA) วิธีการซื้อแบบนี้จะเฉลี่ยราคากองทุน หรือหุ้น ถ้าอายุ 28 ปี ซื้อกองทุนที่เน้นหุ้น หรือหุ้นล้วนๆ ที่ดี จากสถิติในอดีตของตลาดหลักทรัพย์ 17 ปี จะได้ผลตอบแทน 11% ต่อปีฉะนั้นลูกศิษย์ผมถ้าฝาก 10,000 บาทต่อเดือน ฝากไว้จนเกษียณ 30-32 ปี ภายใน 30 ปี เงิน 10,000 บาท จะกลายเป็น174,500 บาท! นี่แค่เดือนเดียว และคิดจากการได้ผลตอบแทนเพียง 10% ทุกปี กำไรทบต้น
แต่ประเด็นคือ ต้องเริ่มลงทุนเร็วฯ
สาม เรื่อง สุขภาพ ซึ่งผมพูดบ่อยแล้วครับ
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี