สืบเนื่องจากการออกมาต่อต้านรัฐบาลทหารพม่า ซึ่ง ณ ตอนนี้มีการปิดกั้นการสื่อสารบนโลกออนไลน์อย่างเด็ดขาด รวมไปถึงการใช้เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารมาควบคุมความสงบในการรวมตัวประท้วงของกลุ่มประชาชนหลากหลายสาขาอาชีพอย่างเข้มข้น นี่เองที่เป็นสาเหตุให้การแสดงออกถึงการอารยะขัดขืนหรือการไม่ยอมจำนนต่อการเข้าทำการรัฐประหารได้รับการนำเสนอออกมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การเคาะเครื่องครัวให้มีเสียงดังกังวาน การชูสามนิ้ว ติดโบ สวมเสื้อสีแดง แล้วถ่ายรูปออกสื่อสังคมออนไลน์ การหยุดทำงานของอาชีพที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจและการสาธารณสุขของประเทศเป็นต้น
และล่าสุดคือ การนำรถยนต์ออกมาจอดขวางถนนหลายจุดในเมืองย่างกุ้ง และเปิดฝากระโปรงรถทิ้งไว้ เสมือนว่ารถจอดเพราะไม่สามารถขับเคลื่อนได้ เพื่อตัดขาดการสัญจรไป-มาของรถทหารและตำรวจที่หวังเดินทางไปยังสถานที่ที่มีการชุมนุม ภายหลังจากที่รัฐบาลทหารพม่าเริ่มทำการปราบปรามผู้ชุมนุมต่อต้านใน
บางพื้นที่ก่อนหน้านี้ ซึ่งการแสดงออกเช่นนี้เกิดจากการสื่อสารผ่านโลกออนไลน์ด้วยระบบเครือข่ายส่วนตัวเสมือน หรือ VPN (Virtual Private Network) ในชื่อที่ว่า “แคมเปญรถเสีย” รวมไปถึงการออกมาขับรถยนต์และรถมอเตอร์ไซค์อย่างช้าๆบนท้องถนนเป็นแถวยาวเหยียดของกลุ่มผู้ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร ซึ่งเกิดขึ้นตามมาเป็นลำดับ
โดยส่วนตัวมองเห็นว่า การอารยะขัดขืนเป็นหนทางแสดงออกต่อการเรียกร้องไปยังผู้มีอำนาจที่เหมาะสมสำหรับการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ภายใต้กรอบกติกาหรือกฎหมาย ซึ่งแม้ว่าจะล้ำเส้นของกฎหมายไปบ้าง แต่ก็ยังคงอยู่ในข้อจำกัดเกี่ยวกับเรื่องของความสูญเสียที่ส่งผลกระทบในรูปแบบที่สามารถให้คำอธิบายได้ในฐานะสิทธิของความเป็นมนุษย์และการแสดงออกตามสิทธิดังกล่าว ที่ทั่วโลกต่างยอมรับ และพยายามทำข้อสัญญาต่อกันในประชาคมโลกอย่างต่อเนื่อง และมีการยกระดับไปสู่ความคุ้มครองอันมีประสิทธิภาพที่ครอบคลุมพลเมืองหรือประชากรในประเทศสมาชิกด้วยการแลกเปลี่ยนเป็นสิทธิประโยชน์ในด้านต่างๆ สำหรับการคบหาระหว่างกันในประชาคมนี้
แม้แต่ในประเทศที่มีข้อจำกัดเรื่องของสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกเองที่เชื่อมโยงกับรูปแบบการปกครอง การอารยะขัดขืนก็เป็นเสมือน “เครื่องมือ” ในการขยายความเข้าใจต่อกันสำหรับสิทธิที่ประชาชนพึงจะมีและควรจะได้ในฐานะมนุษย์คนหนึ่งซึ่งภาครัฐเองไม่ควรมองข้าม อย่างในกรณีของ “เกาหลีเหนือ” ที่มีรายงานออกมาเกี่ยวกับกรอบของแฟชั่น โดยเฉพาะทรงผมและการทาลิปติก ซึ่งประชากรของประเทศนี้ในช่วงวัย 40 ปี ลงมาพยายามที่จะต่อสู้เพื่อให้ได้รับการยืดหยุ่นเกี่ยวกับสิทธิตรงนี้จนเกิดเป็นสารคดีและบทความที่มีชื่อว่า“สิทธิที่จะสวยของชาวเกาหลีเหนือ” (Beauty is freedom : The North Korean millennials wearing makeup to rebel against the state) ออกมาเมื่อปีที่แล้ว (2563) โดยสำนักข่าว CNN
รายละเอียดที่ได้รับการเผยแพร่ออกมาได้เล่าถึง สิทธิในการไว้ทรงผมของชาวเกาหลีเหนือที่ถูกจำกัดเพียงไม่เกิน 10 ทรงผมเท่านั้นสำหรับผู้หญิง และการทาลิปสติกสีแดงจะกลายเป็นสิ่งต้องห้ามจากทั้งพ่อเฒ่าแม่แก่ในหมู่บ้าน หรือแม้แต่ “ตำรวจตรวจแฟชั่น” (คล้ายกับเทศกิจ หรือสารวัตรนักเรียนของบ้านเรา) ที่จะประณามหยามเหยียด ด่าทอต่อว่า จนไปถึงการลงโทษตามกฎหมาย ตั้งแต่การปรับเป็นเงิน หรือการบังคับให้ทำอะไรก็ตามที่สร้างความรู้สึกอับอาย อาทิ การให้ยืนกลางสี่แยกเป็นเวลานาน เป็นต้น เพราะที่นั่นการแต่งหน้าทาปากหรือแต่งตัวแบบสมัยนิยมจะถูกตีตราว่า เป็นพวกอเมริกา เป็นทาสทุนนิยม หรือไม่รักชาติ
เหล่านี้เองที่เป็นอำนาจในการกดทับซึ่งทำให้ชาวเกาหลีเหนือสมัยใหม่รู้สึกว่าต้องผ่อนคลายให้มากกว่าเดิม ประกอบกับอิทธิพลของโลกภายนอก ทั้งละคร เพลง หนัง รวมไปถึงเครื่องสำอางจากเกาหลีใต้ ที่หลั่งไหลเข้าไปยังดินแดนเกาหลีเหนือด้วยการลักลอบ ซึ่งแม้จะเป็นสิ่งต้องห้ามที่นั่น แต่สิทธิที่จะรับรู้ ความต้องการที่จะได้รับความเสมอภาคในฐานะประชากรโลกของชาวเกาหลีเหนือ ก็ทำให้สิ่งต้องห้ามทางวัฒนธรรมเหล่านี้ถูกซื้อขายอย่างแพร่หลายในตลาดมืดสำคัญของหลายเมืองที่ฝั่งเหนือ จนเกิดกระแสการอารยะขัดขืนทางแฟชั่นขึ้นมา
ในรายงานของ CNN ชี้ว่า แม้จะยังไม่มีการขยายกรอบความเข้าใจเกี่ยวกับทรงผม การแต่งหน้าและการแต่งกายในเกาหลีเหนือให้ชัดเจนในทางกฎหมาย แต่
การรุกคืบของประชากรเกาหลีเหนือ โดยเฉพาะในเมืองหลวงและอีกหลายเมืองที่พยายามแต่งหน้าทาปาก ปรับผม เติมแต่งเครื่องแต่งกายทีละน้อยๆ เพื่อสื่อสารความต้องการบางอย่างแก่ผู้มีอำนาจ (รัฐบาลเจ้าหน้าที่ ตำรวจแฟชั่น และคนสมัยก่อน)ก็ได้รับความประนีประนอมในเรื่องการลงโทษ การตักเตือน และเสมือนว่าเพดานของแฟชั่นสำหรับชาวเกาหลีเหนือนั้นกำลังค่อยๆ ขยับเพดานขึ้นเรื่อยๆ ถึงขนาดที่ทางรัฐบาลเกาหลีเหนือ โดย“นายคิม จอง อึน” ผู้นำสูงสุด ต้องออกคำสั่งให้บริษัทผลิตเครื่องสำอางภายในประเทศต้องยกระดับผลิตภัณฑ์และหีบห่อให้มีคุณภาพและสวยงามไม่แพ้ของเกาหลีใต้เพื่อมัดใจประชาชนภายในประเทศให้หันมาให้ความสนใจในสินค้าของตน ต่อยอดไปถึงความภักดีที่เป็นหัวใจในการหล่อเลี้ยงระบอบที่เกาหลีเหนือใช้ปกครองพลเมืองของเขา
นี่ก็เป็นตัวอย่างของการอารยะขัดขืนที่น่าสนใจ และหยิบยกมานำเสนอ เพื่อที่จะชี้ชวนให้เห็นภาพว่า การเรียกร้องให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน และมีคุณค่าต่อการยอมรับของคนส่วนใหญ่นั้นต้องปราศจากความรุนแรง การสูญเสียที่จงใจ หรือแม้แต่ความก้าวร้าวหยาบคายแต่ต้องเป็นไปด้วยความละมุนละไมในการปฏิบัติใดๆ ที่สามารถสร้างความเข้าใจหรือสื่อสารถึงเหตุผลในการกระทำต่อสังคมส่วนใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และปราศจากผลประโยชน์ต่างตอบแทนโดยส่วนตัวจากการเปลี่ยนแปลงนั้น
อีกกรณีหนึ่งที่คลาสสิกมาก และประสบผลสำเร็จมาแล้ว คือ การเข้าไป “นั่งแช่” หรือ Sit-In Movement ในปีค.ศ. 1960 ที่เมือง Greensboro รัฐ North Carolina เริ่มต้นจากการปฏิเสธนักศึกษาผิวดำ 4 คน ที่เข้าไปรับบริการที่ร้าน The Woolworth Store ซึ่งในช่วงเวลานั้นจะให้บริการแต่คนผิวขาว แล้วนักศึกษาผิวดำทั้ง 4 ก็ยืนอยู่ตรงนั้นจนร้านปิด วันต่อมาทั้ง 4 คน ก็มาขอรับบริการ แล้วก็ถูกปฏิเสธเช่นเคย พวกเขาก็ยืนจนร้านปิด พวกเขาทำแบบนี้ทุกวันและจำนวนคนผิวดำที่มายืนพร้อมกับนักศึกษาทั้ง 4 นั้นก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนว่า คนที่ไปยืนถูกตำรวจจับบ้าง ถูกทำร้ายบ้าง แต่พวกเขาก็ยอมให้จับ ยอมให้ทำร้าย ไม่ตอบโต้ และนั่นก็ทำให้คนผิวดำในร้านมาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนทางร้านไม่สามารถให้บริการแบบปกติได้ จากนั้นการอารยะขัดขืนต่อร้าน The Woolworth Store ก็ลามไปสู่กว่า 30 สาขาของเมืองอื่นๆ ชาวผิวดำก็ไปยืนที่ร้านตั้งแต่เช้าจนค่ำในลักษณะเดียวกันทุกๆ วัน ผ่านไป 3 เดือน ร้าน The Woolworth Store แก้ไขกฎใหม่เปิดให้บริการแก้คนผิวดำได้ และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการเรียกร้องสิทธิที่พึงจะมีของคนผิวดำในสหรัฐอเมริกา ซึ่ง Sit-In Movement ก็ได้กลายเป็นต้นแบบของการต่อสู้เรียกร้องด้วยการอารยะขัดขืนที่ทรงพลัง จนถูกนำไปปรับใช้กับการเรียกร้องในประเด็นอื่นๆ ของนักสันติวิธีทั่วโลก
แต่ทั้งหมดที่เล่ามานั้น ความสำเร็จในการเรียกร้องหรือเคลื่อนไหวในรูปแบบนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้านักเคลื่อนไหวไม่ว่าจะเรื่องใดก็ตาม มิได้ให้ความสำคัญกับ “ความสันติ” และ “วิธีของการนำเสนอ” อย่างซื่อตรง เพราะนี่คือสิ่งที่จะทำให้การเปลี่ยนแปลง หรือไม่เปลี่ยนแปลงใดๆ ห่างไกลจากความสูญเสียได้อย่างแท้จริง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี