“โควิด-19 เป็นความท้าทายด้านสาธารณสุขในระดับโลก ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งเราสามารถรับมือกับมันได้ ด้วยความร่วมมือที่ไม่เคยมีมาก่อนเช่นกัน จากการประสานระหว่างรัฐบาล นักวิจัย ผู้ผลิต และพันธมิตรระดับพหุภาคี ภายใต้แนวทางของการรวบรวมทรัพยากร และดำเนินกระบวนการอย่างเป็นหนึ่งเดียวผ่าน
ACT Accelerator (กลไกความร่วมมือเพื่อช่วยเร่งการพัฒนาและผลิตวัคซีน)และโครงการ COVAX ทำให้เราสามารถมั่นใจได้ว่า เมื่อมีวัคซีนสำหรับโควิด-19 มัจะสามารถเข้าถึงประชากรทุกคน ในทุกประเทศ บนโลกใบนี้ได้อย่างเท่าเทียมกัน และเชื่อว่านี่เป็นทางออกที่แท้จริงของโลก สำหรับวิกฤติไวรัส”
แถลงการณ์ของ “ดร.ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส” ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก (WHO) ดังกล่าวนี้เกิดขึ้นเพื่อผลักดันให้โลกเกิดความร่วมมือที่สำคัญ สำหรับการจัดซื้อและจัดหาวัคซีนโควิด-19 ร่วมกัน และใช้กรอบการจัดสรรวัคซีนที่กำหนดโดยองค์การอนามัยโลก เพื่อรับประกันการเข้าถึงวัคซีนของประชากรโลกอย่างเท่าเทียม โดยแบ่งตามสัดส่วนจำนวนประชากร รวมไปถึงความจำเป็น และสถานการณ์ระบาดของแต่ละประเทศ ซึ่งจะเริ่มต้นให้กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์เป็นอันดับแรก ก่อนจะขยายไปยังกลุ่มที่เปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุและกลุ่มเสี่ยงที่มีอาการป่วยจากโรคโควิด-19 ผ่านโครงการ COVAXที่มีเป้าหมายในการส่งมอบวัคซีน 2 พันล้านโดสให้แก่นานาประเทศทั่วโลก ซึ่งร่วมโครงการให้ได้ภายในสิ้นปี 2021 เพื่อใช้งานด้านมนุษยธรรม รวมถึงการรับมือกับการระบาดร้ายแรง ก่อนที่จะไม่สามารถควบคุมได้ โดยวัคซีนทั้งหมดจะต้องมีประสิทธิภาพ และความปลอดภัย ผ่านการจดทะเบียนรับรอง หรือผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติเบื้องต้นจาก WHO แล้ว
“การเข้าถึงวัคซีนโควิด-19 อย่างเท่าเทียม เป็นกุญแจสำคัญในการเอาชนะไวรัส และปูทางไปสู่การฟื้นตัวจากการระบาด เพราะสถานการณ์นี้ไม่ใช่การแข่งขันที่จะหาผู้ชนะเพียงไม่กี่ราย ดังนั้น COVAX จึงเป็นสิ่งที่ทำให้แน่ใจว่า ทุกประเทศจะได้รับประโยชน์จากการเข้าถึงผลงานพัฒนาวัคซีนอันยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก บนกรอบของความยุติธรรม เพื่อการเดินไปสู่ทางออกของวิกฤตินี้ด้วยกัน”
“สเตฟาน เลอเวน” นายกรัฐมนตรีสวีเดน นอกจากออกมาแสดงความเห็นด้วยกับโครงการดังกล่าวนี้แล้ว ในฐานะผู้นำรัฐบาลสวีเดน เขายังอนุมัติเงินกว่า 11 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 340 ล้านบาท) บริจาคเข้ากับ COVAX ด้วย ซึ่งตามที่ทราบกันมาก่อนหน้านี้ว่า นโยบายของสวีเดนในการรับมือกับสถานการณ์ไวรัส คือการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ (Herd immunity) โดยปล่อยให้ประชากรมีภูมิคุ้มกันไวรัสเอง จนมีจำนวนประชากรมากกว่า 75-80% ของจำนวนประชากรทั้งหมด แล้วไวรัสโควิดก็จะหายไปเองตามธรรมชาติ ดังนั้น ทางที่จะทำให้เกิดภูมิคุ้มกันในตัวของมนุษย์ได้เองนั้น คือ หนึ่ง การติดเชื้อแล้วกลับมาหายเป็นปกติ กับสอง การได้รับวัคซีน ซึ่งสวีเดนเคยดำเนินนโยบายในช่วงต้นของการระบาดด้วยแนวทางที่หนึ่งมาแล้ว เพราะกลัวผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการบังคับใช้มาตรการเว้นระยะห่างอย่างเข้มข้น
แต่เมื่อปลายปีที่ผ่านมา อัตราจำนวนการเสียชีวิตของพลเมืองจากการติดเชื้อโควิด และตัวเลขทางเศรษฐกิจอันตกต่ำ ก็ชี้ให้เห็นว่า นโยบายการปล่อยให้ประชากรสร้างภูมิคุ้มกันหมู่เองนั้นไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องนัก ที่สำคัญ แม้การเปิดประเทศ และปล่อยให้เกิดการค้าขึ้นตามปกติ แต่สวีเดนก็ต้องประสบกับปัญหาของเศรษฐกิจโลก เมื่อกราฟเศรษฐกิจทั่วโลกพากันดิ่งเหว การทำมาค้าขายกับคู่ค้าจึงหยุดชะงัก สินค้าบางชนิดหยุดการผลิต เพราะผลกระทบทางการเงิน และความกังวลทางสุขภาพของคนงาน รวมไปถึงการหยุดชะงักจากการเดินทางทำให้การท่องเที่ยวสะดุด และนั่นทำให้สวีเดนหันกลับมาดำเนินมาตรการอันเข้มข้นเหมือนกับหลายๆ ประเทศทั่วโลก เมื่อต้นปี 2021 รวมไปถึงการให้ความหวังต่อการนำเข้าวัคซีนมาฉีดให้กับประชาชนของตัวเอง และสนับสนุนให้องค์กรด้านสุขภาพระดับโลกหาทางสร้างภูมิคุ้มกันให้เกิดขึ้นโดยเร็ว ด้วยการระดมจัดสรรวัคซีนแก่ทุกคน นี่เองจึงเป็นความสำคัญอันชัดเจนของ COVAX และคำตอบของคำถามที่ว่า ทำไมเราต้องจัดสรรวัคซีนให้ทั่วถึงประชากรทั่วโลก
โครงการ COVAX (COVID-19 Vaccines Global Access Facility) หรือ โครงการเพื่อการเข้าถึงวัคซีนโควิด-19 ระดับโลก ก่อตั้งขึ้นในเดือนเมษายน ปี 2020มีนโยบายสนับสนุนการพัฒนา จัดซื้อ และจัดสรรวัคซีนไปยังกว่า 180 ประเทศทั่วโลกโดยมีองค์การอนามัยโลกเป็นผู้นำ ร่วมกับองค์กรพันธมิตรเพื่อวัคซีน (The VaccineAlliance หรือ Gavi) ที่ก่อตั้งโดย “บิล และเมลินดา เกตส์” และกลุ่มพันธมิตรความร่วมมือด้านนวัตกรรมเพื่อรับมือโรคระบาด (Coalition for Epidemic
Preparedness Innovations หรือ Cepi)
คำถามที่สำคัญก็คือ COVAX จะสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้กับโลกใบนี้ได้จริงหรือ ซึ่งถ้าลงลึกไปกับนโยบายการจัดสรรวัคซีน 2 พันล้านโดสในสิ้นปี 2021 แล้ว หัก 200 ล้านโดสสำหรับจัดสรรกันในประเทศต้นทางที่ทำการบริจาคเงินออกไป เหลือ 1.8 พันล้านโดส ใน 92 ประเทศยากจนที่เข้าร่วมโครงการ ที่ COVAX คาดว่าจะเข้าถึงจำนวนประชากรประมาณ 20% ของทั้งหมดในแต่ละประเทศ ซึ่งก็วางแนวทางไว้เป็นบุคลากรทางการแพทย์ และผู้สูงอายุ รวมไปถึงกลุ่มเสี่ยงต่างๆ ถ้าสามารถบังคับใช้มาตรการป้องกันไวรัสได้อย่างเข้มข้นในประเทศเหล่านั้นก็น่าเชื่อว่า อัตราการติดเชื้อใน 92 ประเทศอาจขยับลงมาเป็นศูนย์ได้ในปลายปี 2022 หรือถ้าจะไปไกลถึงการมีภูมิคุ้มกันหมู่จากวัคซีน ก็คงต้องรอให้ถึงปี 2025 บนกรอบของการจัดสรรวัคซีนอย่างต่อเนื่องในอัตราใกล้เคียงกันนี้และที่สำคัญ ในประเทศที่มีกำลังในการจัดสรรวัคซีน ก็ต้องสามารถทำการฉีดวัคซีนให้กับประชากรของตนเองให้ได้ 80% ของจำนวนประชากรภายในประเทศของตน และต้องให้ได้อย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน นี่เป็นเงื่อนไขสำคัญในการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่จากไวรัสโควิดของโลกใบนี้
ดังนั้น COVAX จึงไม่ใช่กุญแจเดียวในการออกจากวิกฤติไวรัสนี้ แต่เป็นกุญแจอีกดอกหนึ่งที่มีความสำคัญไม่แพ้กุญแจดอกอื่นๆ เพราะการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในระดับโลก ไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ก็ไม่ยาก ถ้ามีความร่วมมืออย่างแข็งขันจากรัฐบาลทั้ง 193 ประเทศทั่วโลก ซึ่งเชื่อว่า รัฐบาลทั่วโลกน่าจะตระหนักดีเกี่ยวกับความรับผิดชอบตรงนี้ ที่ต้องอยู่ในนิยามที่ว่า “รวมกันเราอยู่” เพราะถ้าไม่สามารถจัดการเชื้อไวรัสตัวนี้ให้หายไปจากโลกนี้ได้ โอกาสในการติดเชื้อแบบแพร่กระจายอย่างรวดเร็วอาจเกิดขึ้นได้อีกครั้ง และอีกหลายๆ ครั้ง
นอกเสียจากว่า เรามีวัคซีนอย่างเพียงพอในการฉีดอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน ทั้งต่อตัวเอง ครอบครัว บริษัท จังหวัด ประเทศ และทวีปที่มีกำลังซื้อ และโอกาสในการเข้าถึงอันหมายถึงการเติบโตของรายได้สำหรับบริษัทที่ทำการผลิต และตัวแทนจำหน่ายวัคซีนอย่างก้าวกระโดด พร้อมไปกับอัตราการเสียชีวิตของประชากรที่ไม่สามารถเข้าถึงวัคซีนได้ จากในกลุ่มประเทศ หรือกลุ่มทางสังคมอันยากจน ในจำนวนที่เพิ่มมากขึ้นในทุกๆ วัน และนั่นอาจเป็นความน่ากลัวกว่าวิกฤติไวรัสโควิด-19 ที่กำลังดำเนินอยู่นี้ ก็เป็นไปได้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี