เว็บไซต์ VOA (Voice of America) เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2021 ได้นำเสนอภาพเคลื่อนไหวของ “ซูซี่ เอชคุนตานา” (Suzy Eshkuntana) เด็กหญิงชาวปาเลสไตน์วัย 6 ขวบ กำลังได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่กู้ภัย ในการนำตัวเธอและพ่อของเธอ “ริยาด เอชคุนตานา” (Reeyard Eshkuntana) ขึ้นมาจากซากปรักหักพังของบ้านที่ถูกทำลายด้วยการโจมตีทางอากาศของอิสราเอล เธอติดอยู่ในนั้นยาวนานกว่า 7 ชั่วโมง พยายามร้องขอความช่วยเหลือจากพ่อของเธอ แต่เขาก็ไม่สามารถทำตามคำร้องขอของลูกสาวได้ เพราะตกอยู่ใต้ซากบ้านที่ถูกถล่มเช่นเดียวกัน
ล่าสุด ทั้งคู่ปลอดภัยอยู่ในโรงพยาบาลที่ฉนวนกาซาแล้ว แต่สภาพจิตใจของลูกสาว และพ่อของเธอ ยังคงเป็นสิ่งที่หลายคนให้ความกังวล ปัจจุบัน (19 พ.ค. 2021) มีผู้เสียชีวิตในดินแดนปาเลสไตน์ไปแล้ว 197 ราย ซึ่งเป็นเด็ก 58 ราย และผู้หญิง 34 ราย บาดเจ็บกว่า 1,200 คน ส่วนทางด้านอิสราเอลได้ออกมาระบุว่า มีผู้เสียชีวิตกว่า 10 รายในพื้นที่ของตน กระนั้น ความไม่พอใจระหว่างอิสราเอล กับปาเลสไตน์ ก็ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง แรงงานชาวปาเลสไตน์จำนวนมาก ในเขตเวสต์แบงก์ ออกมารวมตัวกันเพื่อประท้วงการกระทำของอิสราเอลที่เกิดขึ้น โดยมีเจ้าหน้าที่กองทัพอิสราเอลเคลื่อนกำลังออกมาสลายการชุมนุมอย่างดุเดือดในขณะที่องค์กรด้านสันติภาพทั่วโลกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติรวมไปถึงอเมริกา ต่างพยายามหาทางเจรจาในทางลับเพื่อหยุดการโจมตีของทั้งสองฝั่งในทันที
อันที่จริง ความรุนแรงที่เกิดขึ้นอยู่ในความสนใจของประชาคมโลกมาอย่างยาวนาน มีการปะทะกันมาหลายครั้งและอย่างต่อเนื่อง จนปะทุกลายเป็นความสูญเสียในครั้งล่าสุด เมื่อความยืดเยื้อในการไล่ครอบครัวชาวปาเลสไตน์ในแถบเยรูซาเลมตะวันออก หลังศาลชั้นต้นทำการตัดสิน และไม่อนุญาตให้ผู้เสียหายกว่า 12 ครอบครัวได้ทำการอุทธรณ์คำตัดสินดังกล่าว ได้ก่อให้เกิดการรวมตัวชุมนุมของชาวปาเลสไตน์ส่วนหนึ่ง และชาวอิสราเอลที่รู้สึกไม่เห็นด้วย จากนั้นก็มีการไล่ที่ครอบครัวชาวปาเลสไตน์เหล่านั้นด้วยความรุนแรงโดยเจ้าหน้าที่อิสราเอล และกลุ่มชาวยิวซึ่งเป็นเจ้าของใหม่ของพื้นที่พิพาทดังกล่าว จนมาสู่การที่ทางการอิสราเอลให้เจ้าหน้าที่มาปิดกั้นการรวมตัวกันในพิธีละหมาดหน้า“มัสยิดสำคัญ” ของชาวปาเลสไตน์ (มัสยิดอัลอักศอ : Al-Aqsa Mosque) อันสร้างความไม่พอใจแก่ชาวปาเลสไตน์มากยิ่งขึ้น
ทั้งหมดนี้ก่อให้เกิดการชุมนุมประท้วงครั้งใหญ่ ใกล้กับมัสยิดสำคัญมีชาวปาเลสไตน์ และชาวอิสราเอลที่ไม่เห็นด้วยต่อการกระทำของทางการอิสราเอลมาเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก ทำให้ทางการอิสราเอลต้องจัดเจ้าหน้าที่ชุดควบคุมฝูงชนมาสกัดกั้น และทำการสลายการชุมนุม ด้วยแก๊สน้ำตา และกระสุนยาง ส่งผลให้มีผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บกว่า 300 คนที่สำคัญ การสลายการชุมนุมของเจ้าหน้าที่ด้วยแก๊สน้ำตา และกระสุนยาง ได้รุกล้ำเข้าไปยังมัสยิดสำคัญของชาวปาเสสไตน์ ในช่วงเวลาที่ทำการละหมาด จนได้สร้างความเสียหายต่อทรัพย์สิน และความรู้สึกของพวกเขาเป็นอย่างมาก ทำให้ไม่กี่วันต่อมา มีจรวดกว่า 200 ลูกยิงเข้าไปในพื้นที่ของอิสราเอล ซึ่ง “กลุ่มฮามาส”(ขบวนการต่อต้านอิสลาม) ได้แสดงตัวว่า การโจมตีที่เกิดขึ้นเป็นการตอบโต้อิสราเอลในการสลายการชุมนุมชาวปาเลสไตน์ และรุกล้ำมัสยิดศักดิ์สิทธิ์จากนั้นการโจมตีโต้กลับจากทางอิสราเอลต่อฉนวนกาซาจึงเกิดขึ้นในเวลาต่อมาจนนำมาสู่ความสูญเสียอันเลวร้ายในปัจจุบัน
สำหรับกรณีความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล กับปาเลสไตน์นั้น เหมือนว่าจะลดความดุเดือดลงไปหลังการทำสนธิสัญญาออสโลทั้ง 2 ฉบับ (1993 และ 1995) ระหว่างทางรัฐบาลอิสราเอล กับกลุ่ม PLO (Palestine Liberation Organization) หรือองค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ ซึ่งอิสราเอลให้อำนาจในการปกครองตัวเองแก่ชาวปาเลสไตน์ในเขตของฉนวนกาซา และถอนกำลังทหารออกมาให้ทำหน้าที่เพียงควบคุมการเข้าออกระหว่างดินแดนเท่านั้น แต่ทางอิสราเอลก็ไม่วางใจ เมื่อกลุ่มต่อต้านอิสราเอลหัวรุนแรงอย่างฮามาส ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธชาวปาเลสไตน์ที่ไม่เห็นด้วยกับท่าทีประนีประนอมของกลุ่ม PLO ค่อยๆ เรืองอำนาจทางการเมืองในพื้นที่ของปาเลสไตน์มากขึ้นทุกที ด้วยนโยบายต่อต้านอิสราเอลแบบเต็มรูปแบบ จนสมาชิกหลายคนได้รับการสนับสนุนจากประชาชนชาวปาเลสไตน์ให้ไปนั่งอยู่ในสภานิติบัญญัติ จนสามารถยึดกุมฉนวนกาซามาเป็นศูนย์บัญชาการหลักของขบวนการ และยึดพื้นที่เวสต์แบงก์บางส่วนมาจากกลุ่มของ PLO ได้อีกด้วย
หลายสิบปีต่อเนื่องที่กลุ่มฮามาสได้ก่อความวุ่นวายให้แก่ทางการอิสราเอล และคร่าชีวิตชาวอิสราเอลด้วยการระเบิดฆ่าตัวตายมาแล้วหลายสิบศพ นี่เองที่ทำให้ “เบนจามิน เนทันยาฮู” นายกรัฐมนตรีอิสราเอล สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และอังกฤษ ตัดสินใจร่วมกันขึ้นบัญชีกลุ่มฮามาสให้เป็นกลุ่มก่อการร้ายที่มีอันตรายต่อโลก ซึ่งเป็นเหตุผลอ้างอิงให้การกระทำอันรุนแรงต่างๆ อันเกิดขึ้นในพื้นที่ของฉนวนกาซา มีความชอบธรรม แม้ว่าจะเป็นการทำให้เกิดความสูญเสียถึงชีวิตก็ตาม
“ปฏิบัติการของกองทัพอิสราเอลต่อกลุ่มติดอาวุธฮามาสในฉนวนกาซาจะเดินหน้าต่อไปอย่างเต็มรูปแบบ โดยอิสราเอลกำลังลงมือปฏิบัติการตราบเท่าที่จำเป็น เพื่อฟื้นคืนความสงบ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลา” นี่เป็นคำประกาศล่าสุดของเบนจามิน เนทันยาฮู ซึ่งหมายความตามตัวอักษรได้ว่า ความสงบต้องจบด้วยความรุนแรง จนนักวิเคราะห์การเมืองระหว่างประเทศทั่วโลก เริ่มแสดงความกังวลขึ้นมาแล้วว่า สถานการณ์นี้อาจเป็นชนวนนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 3 ก็มีความเป็นไปได้
ก็อย่างที่ทราบกันดีว่า แม้“โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาจะออกมาให้คำมั่นว่าจะหาทางให้ทั้งสองฝ่ายหยุดยิงในทันที แต่ในทางการเมืองนั้น คงไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า อเมริกา คือ ผู้ให้การสนับสนุนอิสราเอลมาอย่างต่อเนื่อง และเหนียวแน่น (ในสมัยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ถึงขนาดย้ายสถานทูตอเมริกามาตั้งที่เยรูซาเลม อันเสมือนเป็นการยืนยันว่า พื้นที่พิพาทอย่างเยรูซาเลม คือ เมืองหลวงของอิสราเอล) ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมืองความมั่นคง และนโยบายระหว่างประเทศ เพราะอิสราเอลอาจเรียกได้ว่า เป็นฐานที่มั่นสำคัญทางความมั่นคงของสหรัฐอเมริกาต่อพื้นที่ตะวันออกกลาง โดยเฉพาะ อียิปต์ ซาอุดีอาระเบียจอร์แดน เลบานอน และซีเรีย รวมไปถึงตุรกี (อาณาจักรออตโตมัน) ซึ่งประเทศทั้งหมดนี้ล้วนทำสงครามกับอิสราเอลมาแล้วทั้งสิ้น ทั้งสงครามแบบใช้อาวุธเข่นฆ่ากัน และสงครามตัวแทน ที่มีสหรัฐฯ และพันธมิตร คอยสนับสนุนในการเจรจากับประเทศมหาอำนาจที่สนับสนุนอีกฝั่ง อย่างรัสเซีย
ในประเด็นหลังนี้เองที่เป็นความกังวลขององค์การด้านสันติภาพทั่วโลกและสมาชิกในหลายประเทศของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ว่าอาจเป็นชนวนให้ความขัดแย้งได้ขยายวงกว้างยิ่งขึ้น จึงเป็นที่มาของความต้องการให้ทั้งสองฝ่ายหยุดยิงในทันที และแน่นอนว่า เมื่อความไม่พอใจเริ่มคลายตัวลง การเจรจาสันติภาพอีกครั้ง ของอีกครั้ง และอีกครั้ง ก็คงจะเกิดขึ้นเหมือนที่ผ่านมา หลังจากการฆ่าที่ได้เกิดขึ้นไปแล้ว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี