เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคมที่ผ่านมา (2021) กลุ่มพันธมิตรเพื่อสิทธิพลเมืองชาวอเมริกันเชื้อสายจีน(CACRC) ได้ยื่นฟ้องร้องอดีตประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา“โดนัลด์ ทรัมป์” ต่อศาลของรัฐบาลกลางในเมืองนิวยอร์ก เกี่ยวกับการระบุที่มาของไวรัสโควิด-19 ในการสื่อสารผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ (ทวิตเตอร์) โดยไม่มีมูลความจริงแต่อย่างใด และด้วยข้อกล่าวหาอันบิดเบือนดังกล่าวนั้นก็สร้างความเจ็บปวดทางอารมณ์ รวมไปถึงอันตรายจากความเกลียดชัง นำไปสู่การใช้ความรุนแรง ต่อชุมชน และพลเมืองชาวอเมริกันเชื้อสายจีน รวมไปถึงชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย ที่อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกาในช่วงเวลาที่ผ่านมา
กลุ่ม CACRC ในฐานะโจทก์ของการฟ้องร้องนี้ ได้เรียกค่าเสียหายจากอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นเงินถึง 22.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 700 ล้านบาท โดยคำนวณจากจำนวนชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย ซึ่งอาศัยอยู่ในสหรัฐฯ ประมาณ 22.9 ล้านคน และหวังจะนำเงินค่าเสียหายดังกล่าว (ในกรณีที่ชนะคดี) ไปเป็นทุนตั้งต้นในการสร้างพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียต่อไป
“สหรัฐอเมริกาจะสนับสนุนอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น สายการบิน แลอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบจาก ไวรัสจีนเราจะแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม!” ข้อความนี้นำเสนออยู่บนบัญชีทวิตเตอร์ของนายทรัมป์ เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2020และด้วยความเป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาในช่วงเวลานั้น ทำให้#chinesevirus แพร่กระจายอยู่เต็มการสื่อสารของประชากรบนโลกออนไลน์ และตามมาด้วยความรุนแรงที่เกิดขึ้นต่อคนเชื้อสายเอเชีย โดยเฉพาะชาวอเมริกันเชื้อสายจีน ล่าสุดองค์กร Stop AAPI Hate Asian (AAPI : Americans and Pacific Islanders :ชาวเอเชียแถบแปซิฟิก) ได้ออกมารายงานว่า ในปี 2020 พบชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย ต้องประสบกับความรุนแรงทั้งทางร่างกาย และจิตใจ ซึ่งมาจากความเกลียดชังทางเชื้อชาติกว่า 3,800 ครั้ง แต่นั่นก็ยังไม่สามารถทำให้อดีตผู้นำอย่างทรัมป์หยุดการกล่าวหาจีน ว่าเป็นต้นตอของไวรัสที่สร้างความเสียหายให้แก่สหรัฐฯ ได้แถมยังเรียกหาความรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากจีนอยู่เป็นระยะผ่านช่องทางการสื่อสารต่างๆ ของเขา
กระนั้น เมื่อ “โจ ไบเดน” เข้ามาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ในปี 2021 แม้นโยบาย และทัศนคติต่อไวรัสโควิดของรัฐบาลไบเดน จะมีความแตกต่างจากในสมัยของรัฐบาลทรัมป์อย่างหน้ามือเป็นหลังมือก็ตาม แต่กระบวนการสืบหาต้นตอของไวรัสโควิดจากประเทศจีนประธานาธิบดีคนที่ 46 ของสหรัฐฯ คนนี้ยังคงให้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องจากในสมัยของทรัมป์ พร้อมกำชับว่าต้องปฏิบัติการอย่างเข้มข้น และจะหาทางกดดันจีนให้เข้ารับการสอบสวนอย่างเต็มรูปแบบให้ได้
“สหรัฐจะร่วมมือกับหุ้นส่วนที่มีเป้าหมายเดียวกันทั่วโลก เพื่อกดดันจีนให้มาเข้าร่วมการสอบสวนอย่างเต็มรูปแบบโปร่งใส และยึดมั่นในหลักฐานของนานาชาติรวมไปถึงการอำนวยความสะดวกให้ทีมงานตรวจสอบสามารถเข้าถึงข้อมูลและหลักฐานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด”
การออกมาประกาศเช่นนี้ เกิดขึ้นหลังจากมีข้อมูลออกมายืนยันว่า 3 นักวิจัยจากสถาบันไวรัสวิทยาอู่ฮั่นได้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลด้วยอาการป่วยคล้ายการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเดือน พ.ย. 2019 ซึ่งเป็นช่วงเวลาหลายเดือนก่อนที่จีนจะเปิดเผยการระบาดของไวรัสตัวนี้อย่างเป็นทางการ โดย “เจค ซัลลิแวน”ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ แห่งสหรัฐอเมริกา ได้มอบหมายให้หน่วยงานด้านข่าวกรองไปจัดทำรายงานวิเคราะห์เกี่ยวกับต้นตอการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดอันเป็นปัจจุบันที่สุด รวมทั้งหาข้อสรุปให้ชัดเจนว่า เชื้อไวรัสดังกล่าวมาจากการที่มนุษย์สัมผัสกับสัตว์ที่ติดเชื้อ หรือหลุดออกมาจากห้องทดลองกันแน่ ซึ่งไบเดนได้ให้เวลาเอาไว้ทั้งหมด 90 วัน (สิ้นสุด สิงหาคม 2021) ก่อนจะนำรายงานที่มีความสมบูรณ์สูงสุดกลับมาพิจารณาดำเนินการต่อไป ร่วมกับมิตรประเทศทั่วโลก ซึ่งก็พยายามเรียกหาความรับผิดชอบต่อความเสียหายจากไวรัสที่เกิดขึ้นเช่นเดียวกัน
อันที่จริงก่อนหน้านี้ (ธันวาคม 2020) สำนักข่าว CNN ก็ได้ออกมาเผยแพร่เอกสาร 117 หน้า ที่อ้างว่าเป็นข้อมูลที่ได้มาจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุขของจีน ซึ่งไม่ตรงกับข้อชี้แจงเกี่ยวกับไวรัสโควิดของทางรัฐบาลจีนก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการระบาดของไวรัสที่คล้ายกับโควิดในช่วงต้นเดือนธันวาคม 2019 ในหลายเมือง การปกปิดตัวเลขของผู้ติดเชื้อไวรัส และจำนวนคนที่เสียชีวิต รวมไปถึงความผิดพลาดของการตรวจหาเชื้อไวรัสในช่วงต้นของการระบาด ซึ่งพ้องไปกับรายงานบางส่วนของทางหน่วยงานความมั่นคงของสหรัฐฯ และการให้สัมภาษณ์ของ “ดร.เฉิน เจียน-เจิน”อดีตรัฐมนตรีสาธารณสุขไต้หวัน ที่ออกมาระบุว่า “หากรัฐบาลจีนเปิดเผยถึงการระบาดของโรคโควิด-19 ตั้งแต่พบที่เมืองอู่ฮั่นในช่วงแรก คือ ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนธันวาคม 2562 และเปิดทางให้องค์การอนามัยโลก(WHO) ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปในเมืองอู่ฮั่นการระบาดของโรคโควิด-19 ก็อาจควบคุมได้และไม่เกิดเป็นภาวะโรคระบาดระดับโลกแบบนี้”
แต่ “เล่อ อวี้เฉิง” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน ก็ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวอ้างอันเป็นผลทางลบต่อจีน และมองว่า การกล่าวหาเรื่องการปกปิดข้อมูลด้านการสาธารณสุขนั้น เป็นการไม่ให้เกียรติทีมแพทย์ และเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุข รวมไปถึงประชาชนในประเทศของเขา สิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเป็นไปเพื่อผลทางการเมืองในระดับประเทศทั้งสิ้น
“จีนไม่ใช่ผู้ที่ทำให้เกิดการระบาดของโรคโควิด-19 โรคระบาดเป็นภัยธรรมชาติ ซึ่งจีนเองก็เป็นเหยื่อของไวรัสเช่นกัน มิใช่ผู้ร่วมสมคบคิดในการก่อไวรัส การกล่าวโทษจีน และให้จีนรับผิดชอบในเรื่องนี้ ถือเป็นเรื่องชวนหัวทางการเมืองที่ไร้สาระโดยแท้”
ที่น่าสนใจก็คือ การลงพื้นที่“อู่ฮั่น” ของทีมสอบสวนโรคจาก WHO เมื่อต้นปี 2021 ที่ผ่านมาในรายงานมีการแสดงข้อสันนิษฐานจากทีมงานเอาไว้ว่า หนึ่ง เชื่อว่าโควิด-19 มาจากค้างคาว และติดต่อสู่มนุษย์โดยตรง สอง เชื่อว่า โควิด-19 มาจากค้างคาว แต่ติดต่อผ่านสัตว์ชนิดหนึ่งก่อน แล้วค่อยมาสู่คน สาม เชื่อว่า โควิด-19 อาจถูกนำเข้ามายังอู่ฮั่นจากอาหารแช่แข็งของที่อื่น แล้วปนเปื้อนสู่คนจากการสัมผัส และสี่ ไม่เชื่อว่าโควิด-19 หลุดออกมาจากห้องแล็บ แต่ “เทดรอส อัดฮานอม เกเบรเยซุส” ผู้อำนวยการใหญ่ของ WHO ก็แถลงว่า ข้อมูลทั้งหมดนี้ยังไม่ใช่ข้อสรุป และยังคงเปิดกว้างรับข้อมูลใหม่ๆ ต่อไปจนกว่าจะมีความสมบูรณ์
เท่าที่ทราบ ตอนนี้หลายประเทศก็ตั้งทีมขึ้นมา เพื่อทำการค้นหาความจริงเกี่ยวกับต้นตอของวิกฤติไวรัส ทั้งแบบเปิดเผย และไม่เปิดเผย โดยส่วนตัวเชื่อว่า น่าจะมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลในทางลับต่อกันอย่างเข้มข้น เพราะเมื่อกระบวนการไปสู่ทางออกของปัญหาได้รับการศึกษาอย่างละเอียดแล้ว สิ่งที่ต้องทำต่อไปก็คือ การกลับไปที่ต้นตอของปัญหา แล้วศึกษาเพื่อไม่ทำให้มันต้องเกิดขึ้นอีกครั้ง ในระหว่างที่โลกกำลังทำการฟื้นฟู และเดินไปสู่อนาคต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี