ผมสนใจเรื่องการสร้างเสริมสุขภาพ ป้องกันโรคมานานแล้ว จากหลักการป้องกันโรคนี้ทำให้ผมหันจากการสอน The Art of Learning สำหรับนิสิตแพทย์ และแพทย์ มาเป็น The Art of Living เพราะชีวิตไม่ใช่การเรียนอย่างเดียว เรียนแล้วต้องเอาไปใช้ และต้องเอาไปประยุกต์ใช้ให้ได้ในชีวิตจริง ต้อง practical หรือต้องเอาไปใช้ได้ ไม่ใช่เรียนแล้วเอาไปใช้ไม่ได้ มีตัวอย่างเยอะไป ที่เรียนจบแล้วหางานทำไม่ได้ เพราะตลาดไม่ต้องการหรือเรียนเก่ง แต่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตเท่าที่ควร The Art of Living สำหรับผมคือ การมีศิลปะในการดำรงชีวิตอย่างมีความสุขและประสบความสำเร็จ นั่นก็หมายความว่า เราต้องมีความสามารถในการบริหารความเสี่ยงของทุกๆ อย่าง ที่มุ่งมาหาเรา เพราะชีวิตเราเต็มไปด้วยความเสี่ยง ตั้งแต่เกิดจนในที่สุดก็ต้องตาย เราต้องมีภูมิคุ้มกันในเรื่องต่างๆ ของชีวิต อย่างที่ในหลวง ร.9 ทรงสอนเราในปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ห่วงอันหนึ่งของเศรษฐกิจพอเพียง คือ การมีภูมิคุ้มกัน
จากการสอนของผม 50 ปี ผมค่อยๆ ผันจากการสอนศิลปะในการเรียน (The Art of Learning) ที่ภาควิชาอายุรศาสตร์มอบหมายให้ผมสอน มาเป็น The Art of Living จริงๆ แล้วThe Art of Learning ถ้าจะแปลความหมายให้กว้างออกไปก็ไปถึง The Art of Learning How to Live ก็ยังได้
วันนี้จึงอยากเอาความรู้ที่อาจจะใหม่สำหรับพวกเรา แต่จริงๆ แล้วก็เก่าแล้ว เพียงแต่ว่าเรารู้หรือไม่รู้ มาพูดคุยให้พวกเรารู้จักมันดีขึ้นนั่นเอง นั่นก็คือ โรคที่คนเราได้รับมาจากสัตว์ หรือ Zoonosis นั่นเอง ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งของความเสี่ยงในชีวิต
Zoonosis คือโรคที่ติดต่อมาจากสัตว์ ทั้งสัตว์เลี้ยง และสัตว์ป่า เชื้อโรคอาจเป็นไวรัส แบคทีเรีย พาราไซ (parasite) fungusอาจติดคนโดยตรงจากสัตว์ หรือทางอาหาร น้ำ และสิ่งแวดล้อมโรคต่างๆ เหล่านี้มีความสำคัญมาก เพราะมนุษย์และสัตว์อยู่ร่วมกัน หรือใกล้กัน องค์การอนามัยโลกคาดคะเนว่าประมาณ 3 ใน 4 ของโรคที่เกิดใหม่หรือที่เกิดใหม่อีกครั้ง (re-emerging)มาจากสัตว์ ทั้งนี้เพราะเราอยู่ใกล้สัตว์มาก รวมทั้งมนุษย์ไปบุกรุกป่าเพื่อที่อยู่อาศัย หรือการเพาะปลูก ซึ่งสัตว์ต่างๆ เหล่านี้อาศัยอยู่ที่นี่อยู่แล้ว โรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากสัตว์มีมากมาย ตั้งแต่ Ebola virus, COVID-19, salmonellosis, bird flu (ไข้หวัดนก), bovine (ไข้หวัดหมู) tuberculosis (วัณโรค), brucellosis,campylobacter infection, cat scratch fever, cryptosporidiosis, cysticercosis, dengue fever (ไข้เลือดออก), encephalitis from ticks,enzootic abortion, erysipeloid, fish tank granuloma, giardiasis, glanders, hemorrhagic colitis, hepatitis E (ตับอักเสบจากเชื้อไวรัส E),hydatid disease leptospirosis listeria infection, louping ill, lyme disease, lymphocytic chroiomeningitis, malaria (มาลาเรีย),orf infection parrot fever, pasteurellosis, plague, Q fever, rat-bitefever, toxocariasis, toxoplasmosis, trichinellosis, tularemia, westnile virus, zoonotic diphtheria โรคพิษสุนัขบ้า (แต่ก็แพร่ได้จากแมว ค้างคาวด้วย) โรคมะเร็งของระบบท่อน้ำดีในตับที่เกิดจากการกินปลาน้ำจืดที่ดิบ เช่น ปลาร้า ก้อยปลา ปลาส้ม ที่มีเชื้อพยาธิใบไม้ตับอยู่ในปลา โรค leptospirosis ที่มีเชื้อโรคอยู่ในหนูที่ส่งต่อออกมาในปัสสาวะ เวลาคนเดินลุยน้ำก็จะได้รับเชื้อ ฯลฯ โรคต่างๆ เหล่านี้มีศักยภาพที่จะทำให้เกิดการระบาดทั่วโลก ดังที่มีตัวอย่างบ่อยๆ จากโรคไข้หวัดใหญ่ (influenza) หรือโควิด-19 ซึ่งเป็นไวรัสตระกูลเดียวกับไข้หวัดใหญ่
การแพร่เชื้อต่างๆ เหล่านี้เกิดขึ้นได้จากการหายใจเอาเชื้อที่อยู่ในอากาศ จากการกินอาหาร หรือดื่มน้ำที่มีเชื้อ การได้สัมผัสกับสัตว์ หรือไปจับที่ที่มีเชื้อ หรือจากโดนแมลงต่างๆ เช่น ยุง เห็บ เหา หมัด โลน ไร ฯลฯ กัด
การป้องกันโรคที่มาจากสัตว์ต่างๆ เหล่านี้แตกต่างกันสำหรับเชื้อโรคแต่ละตัว อย่างไรก็ตามโดยหลักการต้องมีการดูแลสัตว์เลี้ยงต่างๆ ให้ดี เพื่อที่จะลดโอกาสที่จะแพร่เชื้อทางอาหาร เช่น การจัดการที่ดีเกี่ยวกับเนื้อสัตว์ ไข่ อาหารพวกผลิตภัณฑ์นม รวมทั้งพืช ผัก ด้วย ควรมีการดูแลน้ำดื่มที่มีมาตรฐาน และระบบการกำจัดของเสีย เช่น ขยะ ที่ดี การดูแลน้ำที่อยู่ตามธรรมชาติ การสอนประชาชนให้ทำความสะอาดมือหลังจากไปอยู่ใกล้หรือจับสัตว์มา
ควรดูแลการใช้ยาปฏิชีวนะให้ดี เพราะถ้าใช้ไม่ถูกวิธี อาจทำให้เกิดความดื้อของเชื้อโรคต่างๆ ต่อยาได้ โดยเฉพาะการใช้ยาปฏิชีวนะในสัตว์เลี้ยงเพื่อเป็นอาหาร
ใครมีความเสี่ยงต่อโรคที่เกิดจากสัตว์? ผู้ที่มีความเสี่ยงคือ พวกชาวไร่ ชาวนา ที่อยู่ใกล้ชิดสัตว์ ทั้งสัตว์เลี้ยง หรือสัตว์ป่า ตลาดที่ขายเนื้อสดหรือส่วนประกอบของเนื้อสด โดยเฉพาะสัตว์ป่า กลุ่มพวกนี้มีความเสี่ยงสูงมากต่อการเกิดเชื้อโรคใหม่ หรือเชื้อโรคที่ยังไม่เคยพบ พวกชาวไร่ที่มีการใช้ยาปฏิชีวนะมากๆ มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะ ผู้ที่อาศัยอยู่ใกล้ป่า หรือชายเมืองที่มีสัตว์ป่ามาก อาจมีความเสี่ยงต่อโรคที่มาจากหนู (rats) หมาจิ้งจอก และสัตว์ที่คล้ายๆ หมีเล็ก (raccoon-แรคคูน) การตัดไม้ทำลายป่าเพื่อที่อยู่อาศัยหรือเพาะปลูก หรือการขยายเมืองเข้าไปในป่าจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคระบาดจากสัตว์สู่คนมากขึ้น เพราะคนจะเข้าไปบุกรุกที่ (เดิม) ของสัตว์ รวมทั้งผู้ที่ตั้งครรภ์ ผู้ที่สูงอายุเด็กต่ำกว่า 5 ปี ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ที่มีเชื้อ HIV,ผู้ที่เป็นโรคมะเร็งและกำลังรักษาด้วยยาคีโม ฯลฯ
ฉะนั้นมนุษย์ และสัตว์ ต้องพยายามอยู่ร่วมกันอย่างสันติทุกๆ คน องค์การ ประเทศต้องพยายามรู้จักวิธีป้องกัน จัดการกับภัยคุกคามของโรคที่อาจเกิดจากสัตว์ ต้องมีมาตรฐานการดูแลที่ดี มีการเฝ้าระวังการระบาดต่างๆ โดยให้ความรู้ต่อทุกๆ คนในชุมชน ฯลฯ
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี